This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แฉ หญิงสูงวัย หมิ่นเบื้องสูงหน้าศาล รธน.เตรียมบินหนีกลับนิวซีแลนด์

นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ ขณะแสดงท่าทีไม่เหมาะสมต่อพระบรมฉายาลักษณ์ ต่อหน้าผู้ชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อ 13 ก.ค.55
แฉ หญิงสูงวัย หมิ่นเบื้องสูงหน้าศาล รธน.เตรียมบินหนีกลับนิวซีแลนด์อังคารนี้,
   แฟนเพจสายตรงภาคสนาม แฉ “ฐิตินันท์” หญิงสูงอายุแสดงท่าทีไม่เหมาะสมต่อพระบรมฉายาลักษณ์ ต่อหน้าผู้ชุมนุมหน้าศาลรัฐธรรมนูญ เตรียมบินกลับนิวซีแลนด์ โดยตำรวจทำเป็นเกียร์ว่าง ไม่สนใจว่าวิกลจริตจริงหรือไม่ พบเป็นแม่ยก “ณัฐวุฒิ-ขวัญชัย-อดิศร” แกนนำแก๊งแดง โชว์รูปหราในเฟซบุ๊ก
       
       วันนี้ (14 ก.ค.) แฟนเพจสายตรงภาคสนาม ในเฟซบุ๊กรายงานกรณีที่นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่กระทำการมิบังควรต่อพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หน้าศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้อง ร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่
       
       โดย พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล อ้างว่า นางฐิตินันท์ เป็นคนวิกลจริต เนื่องจากญาติได้นำหลักฐานการรักษาอาการทางจิตที่โรงพยาบาลประสาทมายืนยันแล้ว และขณะนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวน และเพจสายตรงภาคสนาม ได้นำหลักฐานที่ระบุว่านางฐิตินันท์ไม่น่าจะเป็นผู้วิกลจริต เนื่องจากมีเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงถึงการคนเสื้อแดงและเป็นสาวกของแกนนำแดง เช่น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายขวัญชัย สาราคำ (ไพรพนา) และนายอดิศร เพียงเกษ เป็นต้น รวมทั้งยังไปแสดงความเห็นในเวปหมิ่นสถาบันอีกหลายเว็บด้วยนั้น
       
       ล่าสุด เพจสายตรงภาคสนามตรวจสอบพบว่า นางฐิตินันท์เตรียมเดินทางกลับประเทศนิวซีแลนด์ด้วยเที่ยวบินที่ TG 491 ในวันที่ 17 ก.ค. 55 เวลา 18.40 น. ในขณะที่ตำรวจมิได้มีการระงับการเดินทางออกนอกประเทศของนางฐิตินันท์แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่คดีดังกล่าวยังไม่มีการพิสูจน์ว่านางฐิตินันท์เป็นผู้วิกลจริตจริงตามที่ญาติกล่าวอ้างหรือไม่ อีกทั้งหากปล่อยให้นางฐิตินันท์เดินทางกลับไปประเทศนิวซีแลนด์แล้ว ย่อมเป็นการยากที่จะตามตัวมาดำเนินคดีได้
       
       ด้าน เฟซบุ๊ก Boworn Yasintorn ของนายบวร ยสินทร แกนนำกลุ่มราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน มีการระบุว่า วันนี้ (14 ก.ค.) เวลา 16.00 น.จะมีประชาชนรวมตัวกันไปแจ้งความตำรวจคดีต่อนางฐิตินันท์ ที่ สน.ทุ่งสองห้องด้วย
       
       ต่อมาเพจสายตรงภาคสนาม รายงานเพิ่มเติมว่า ได้ติดต่อคุณ Tithchakornch Chotirapapornkul ซึ่งเป็นผู้โพสต์ในเฟซบุ๊กว่าจะเดินทางไปกับประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อติดตามความคืบหน้าในคดีนางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ ที่ สน.ทุ่งสองห้อง โดยเดินทางร่วมกันไปยังสน.ทุ่งสองห้อง 8 คน ได้พบกับ พ.ต.ท.นพดล ดอนศรีจันทร์ และได้รับคำยืนยันว่าตำรวจได้ส่งตัว นางฐิตินันท์ ไปยังโรงพยาบาลศรีธัญญาแล้ว จึงได้เดินทางไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลดังกล่าว พบว่านางฐิตินันท์ อยู่ที่นั่นจริง แต่ยังไม่มีคำวินิจฉัยของแพทย์ว่า นางฐิตินันท์ เป็นผู้วิกลจริตหรือไม่
       
       สำหรับกรณีที่ตำรวจแจ้งว่าได้มีการทำเรื่องเพื่อยกเลิกเที่ยวบินของนางฐิตินันท์ แล้วนั้น ไม่ใช่การดำเนินการของทาง สน.ทุ่งสองห้อง โดยคุณTithchakornch ได้รับคำอธิบายว่า คดีเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะมีคณะทำง่านดำเนินการ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นหน่วยงานไหน โดยทางตำรวจระบุว่าคณะทำงานดังกล่าวเป็นผู้ทำหนังสือยกเลิกการเดินทางของนางฐิตินันท์ไปแล้ว แต่ไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ เนื่องจากทั้งหมดไม่ใช่เจ้าทุกข์...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน


เครือข่ายทักษิณ VS ศาล




ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- “คนชุดดำไม่ใช่ประเด็นการเผาเซ็นทรัลเวิลด์ และไม่มีใครสงสัยว่า คนชุดดำเป็นคนเผา เพราะใส่ชุดอะไรก็เผาได้ทั้งนั้น แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า มีคนชุดดำแน่นอน มีชีวิตอยู่ มีการยิงต่อสู้ และมีการใช้อาวุธ โดยเป็นพวกตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ออกปฏิบัติงานนั้นก็ต้องใส่ชุดทหาร ไม่ใช่ใส่ชุดดำ” คำยืนยันอีกครั้งของอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
       
       ถวิล ตอกย้ำพฤติกรรมของคนเสื้อแดงที่เปลี่ยนมาใส่สีดำ พร้อมอาวุธครบมือว่า
       
       "รับรองว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ เพราะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ผ่านมาก็มีการจับกุมได้ การที่นายธาริต ระบุไม่มีคนชุดดำเกี่ยวข้องนั้น ผมก็สงสัยว่าจะไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร เพราะมีการยิงเจ้าหน้าที่ ทั้งที่ย่านสีลมกับแยกคอกวัว และจับกุมได้หลายคนตามที่มีหมายจับ รวมทั้งยังมีคนที่ยังจับไม่ได้"
       
ก่อแก้ว พิกุลทอง


       แต่การธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า การสอบสวนของดีเอสไอ ไม่พบว่ามีคนชุดดำเกี่ยวข้องกับคดีวางเพลิงเซ็นทรัลเวิลด์นั้น ถูก ถวิลอธิบายว่า
       
       "นายธาริต คงพูดตามสำนวนคดีว่าที่เผาเซ็นทรัลเวิลด์ไม่มีคนชุดดำ เพราะไม่มีคนชุดดำ แต่ว่ามีผู้ตกเป็นผู้ต้องหาในการเผา และคิดว่าเป็นการพูดตามข้อเท็จจริง ก็ไม่ทราบว่าเป็นการพูดตามใบสั่งทางการเมืองหรือไม่"
       
       เสียคน..จนอาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอน ก็คราวนี้แหละ ธาริต !!
       
       ข้อเท็จจริงทั้งหมดของ “คนชุดดำ” ที่ยิงเจ้าหน้าที่ และประชาชนเพื่อโยนความผิดนั้น ไม่แตกต่างกับคำพูดของ “ไอ้ตู่ ไอ้เต้น ไอ้เหวง”
       
       ด้านหนึ่งบอกว่า ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของทักษิณอย่างสงบ อีกด้านหนึ่งระดมทั้งคนไทย คนเขมร จับอาวุธ มาฝึกการใช้ เพื่อผลักดันให้สถานการณ์บานปลาย
       
จตุพร พรหมพันธุ์


       หากินกับการหลอกลวงไปวันๆ
       
       นั่นทำให้ คนเหล่านี้ไม่สามารถใช้ความชำนาญในการโกหกกับความยุติธรรมได้
       
       ทำให้เครือข่ายทักษิณ จนเผชิญหน้ากับศาลยุติธรรมตลอดเวลา
       
       ไม่เว้นแม้กระทั่ง หัวโจกอย่างนายใหญ่ดูไบ ต้องหนีโทษแบบไม่มีแผ่นดินอยู่ โดยมีหมายจับอยู่ถึง 5 คดี ได้แก่
       
       1. คดีที่ดินรัชภิเษก หมายจับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 หมายเลขแดงที่ อม.1/2550
       2. คดีหวยบนดิน หมายจับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551
       3. คดีเอ็กซิมแบงก์ หมายจับศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.3/2551
       
       4. คดีแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต หมายจับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.9/2551
       5. คดีก่อการร้าย หมายจับคดีอาญาของศาลอาญา หมายจับเลขที่ 10862/2553
        
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
       
       หาก”พ่อของมึง” (ตามคำเรียกของมัลลิกา บุญมีตระกูล) กลับเมืองไทย คงต้องติดคุกหัวโต !!
       
       ขณะที่นักโทษคดีการเมือง หรือผู้ร่วมชุมนุมกลุ่ม นปช. ช่วงเหตุการณ์ เม.ย.-พ.ค.2553 ที่สมาคมทนายความฯ พยายามยื่นเรื่องขอประกันตัว ได้แก่ นายโกวิท แย้มประเสริฐ ความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ลักทรัพย์ และครอบครองวัตถุระเบิด และ นายประสงค์ มณีอินทร์ ข้อหาผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.ก.วิทยุสื่อสาร และทรัพย์ รวมทั้งครอบครองวัตุระเบิด ซึ่งทั้งคู่มีโทษจำคุก 11 ปี 8 เดือน ปรากฏว่า ศาลไม่อนุญาตให้ประกัน ซึ่งเห็นว่าเป็นข้อหาร้ายแรงเกรงว่าหากให้ประกันตัวอาจจะหลบหนี
       
       ขณะที่ ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม ที่กระทำผิดข้อหาก่อการร้าย พ.ร.บ.อาวุธปืน และเป็นมือยิงจรวดอาร์พีจี เข้าใส่กระทรวงกลาโหม เมื่อปี 53 ส่วนนายเอนก สิงขุนทด กระทำผิดข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.อาวุธปืน ขณะที่นายคำหล้า ชมชื่น กระทำผิดข้อหาปล้นปืน ปรากฏว่า ศาลให้กลับไปทำเอกสารมาใหม่
       
       นายเพชร แสงมณี ชาวกัมพูชา ผิดข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน วางเพลิงเผาทรัพย์ และก่อการร้าย ศาลไม่อนุญาตให้ประกัน เพราะเกรงว่าอาจจะหลบหนี เนื่องจากมีสัญชาติกัมพูชา
       
ธิดา ถาวรเศรษฐ์


       ส่วนลูกน้องพวกฮาร์ดคอร์ อย่าง ไอ้ตู่- คางคกที่เตรียมจะขึ้นวอ ก็ถูกตัวแทนศาลรัฐธรรมนูญรับมอบอำนาจจากศาลรัฐธรรมนูญให้ไปยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อให้มีคำสั่งถอนคำอนุญาตปล่อยชั่วคราว “จตุพร พรหมพันธุ์” อดีต ส.ส.เพื่อไทย ในคดีก่อการร้าย หลังจากเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายจตุพร ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยโจมตีการตีความของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับ มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ บริเวณหน้ารัฐสภา ถนนอู่ทอง โดยศาลอาญารับคำร้องไว้ และให้ออกหมายเรียกนายจตุพร มาสอบถามข้อเท็จจริงในวันที่ 23 ก.ค. เวลา 09.00 น.
       
       ล่าสุด ศาลอาญาพิพากษาจำคุกไอ้ตู่ 6 เดือน ปรับ 5 หมื่นบาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจตุพร ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ ขณะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ในระหว่างการแถลงข่าว ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 13 ม.ค.52 ว่า ไม่ถวายความเคารพต่อองค์พระมหากษัตริย์ ขณะเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทำตัวตีเสมอ เพราะในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีคนใดที่เข้าเฝ้าฯ และนั่งเก้าอี้เหมือนกับโจทก์
       
       ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทย เสนอกฎหมายปรองดอง โดยการเขียนคำพิพากษาขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทักษิณไม่มีความผิด
       
       มิหนำซ้ำยังเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนถูกร้องว่า เป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
       
       โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่
       
       พรรคเพื่อไทย และเครือข่ายพยายามบ่อนทำลาย และกดดันศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไว้ก่อนล่วงหน้า
       
       จนกระทั่ง จรัญ ภักดีธนากุล ต้องถอนตัวจากการพิจารณาคดีนี้
       
ธาริต เพ็งดิษฐ์


       คำแถลงปิดคดีของพรรคเพื่อไทย และประธานรัฐสภา มีเนื้อหาที่สำคัญคล้ายๆ กันเกี่ยวกับ
       
       1. การชี้แจงว่าผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องว่า มีการกระทำผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับเรื่องไว้พิจารณา เพราะความผิดตามมาตรา 68 กรณีการกล่าวหาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น ไม่สามารถยื่นโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
       2. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เพื่อให้ ส.ส.ร. มายกร่างรัฐธรรมนูญสามารถกระทำได้
       3. การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง
       
       ขณะที่ผู้ร้องอย่าง “วิรัตน์ กัลยาศิริ” ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และคนอื่นๆ ก็ได้ทำคำแถลงปิดคดีในลักษณะที่ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้ มีการกระทำเป็นขบวนการเพื่อล้มล้างระบบการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
       
       กระบวนการกดดันเพื่อให้การตัดสินทางกฎหมายของศาลรัฐธรรมนูญ “ผิด” แต่จะส่งผลดีต่อมวลชน ทำให้สภาทนายความ ต้องออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2/2555 ติงการข่มขู่ กดดัน การวินิจฉัยชี้ขาดคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 
       
       “มีบุคคล กลุ่มบุคคล และสมาชิกพรรคการเมืองบางคนได้แสดงความคิดเห็น หรือรวมตัว ชุมนุมในที่สาธารณะหรือบริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญในลักษณะข่มขู่ กดดัน และชี้นำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้วินิจฉัยคดีในทางที่เป็นคุณแก่ตนเองและพวกพ้อง เมื่อใดที่ศาลมีคำวินิจฉัยที่เป็นคุณแก่ตนเองและพวก พ้อง ก็จะชื่นชม ว่า มีความเป็นกลาง มีความยุติธรรม แต่เมื่อใดที่มีคำวินิจฉัยที่เป็นผลร้ายแก่ตนเอง และพวกพ้อง ก็จะกล่าวหาว่า ไม่มีความเป็นกลาง ไม่มีความยุติธรรม ซึ่งสภาทนายความได้ติดตามข่าวสาร ในเรื่องนี้ ด้วยความห่วงใย” แถลงการณ์ ของสภาทนายความอธิบายพฤติกรรมของแกนนำ นปช. และสมาชิกพรรคเพื่อไทย
       
       “ การแสดงความคิดเห็นหรือรวมตัวกันในลักษณะข่มขู่ กดดัน และชี้นำตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อาจเป็น การกระทำความผิดฐานข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่หรือให้ละเว้นการ ปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และอาจเป็นการดูหมิ่น ศาลหรือผู้พิพากษา ในการพิจารณาพิพากษาคดีหรือกระทำการขัดขวางการพิจารณา และพิพากษาของศาลตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 139 และมาตรา 198 ซึ่งมาตรา 45 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ได้บัญญัติรับรองไว้” เนื้อหาที่เป็นการชี้ให้เห็นพฤติกรรมกฎหมู่ ของกลุ่ม นปช.
       
       พฤติกรรมกฎหมู่ของนปช. จะเห็นได้จากคำแถลงของ “นางแดงสมองเสื่อม” ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้ประกาศเมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า
       
       “ หากสร้างผลลบกับประชาชน เราจะมาปรากฏตัวสัก 3แสนคน เพื่อบอกให้รู้ว่าเราไม่เอาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาจากคนไม่กี่คน มาลบล้างอำนาจประชาชนหลายสิบล้านคน กล้าทำได้อย่างไร ระบอบอำมาตย์ไม่ใช่คนคนเดียว แต่เป็นคนจำนวนมาก ที่ได้ผลประโยชน์ จึงกล้ามาชนกับประชาชน 50-60 ล้านคน เราต้องลุกขึ้นยืน บอกให้รู้ว่า ประชาชนไม่ยอมให้คนส่วนน้อยมาปู้ยี่ปู้ยำประเทศอีกต่อไป”
       
       นางแดงสมองเสื่อม คนนี้กล้าแอบอ้าง 50 ล้านคน เหมือนกำพืดของแกนนำนปช.หลายคนที่ชอบแอบอ้างมวลชนหลายสิบล้านคน
       
       โดยไม่เดินสำรวจตลาดดูว่า คนไม่เห็นด้วยกับพวกนี้ มีมากน้อยขนาดไหน
       
       ขนาดบ้านเกิดตัวเอง แดงสมองเสื่อมคนนี้ ยังไม่กล้ากลับ แล้วจะมาอ้างว่ามีคนสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย
       
       “ ทั้งนี้ ขอให้แกนนำเสื้อแดงแต่ละจังหวัดเตรียมตัวให้พร้อมจัดประชุมร่วมกับมวลชน เผื่อไว้หากมีเหตุการณ์เลวร้าย”
       
       คำขู่ต่อศาลรัฐธรรมนูญยังโผล่มาจากปากเน่าของ “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง
       
       “ หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการดำเนินการเพื่อล้มล้างการปกครอง พวกผมก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว และก็ขอให้คนเสื้อแดงร่ำลาครอบครัวเอาไว้ได้เลย เพราะจะเป็นการต่อสู้ที่แตกหักอย่างแน่นอน หากศาลวินิจฉัยเช่นนั้น ประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และสนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คงจะไม่รับฟังคำตัดสินครั้งนี้แน่นอน และจะดำเนินการไปสู่การจับกุมศาล”
       
       ถึงขนาดถ้ามันไม่ได้อย่างที่ต้องการ ต้องมีการจับกุมศาลกันเลยหรือ !!??
       
       ถ้าคนไม่เห็นด้วย จับกุมพวกนปช.บ้าง ไปค้นบ้านก่อแก้ว แล้วติดประกาศ “เขตศาลเตี้ย-ประชาธิปไตยแบบไม่มีทักษิณ”
       
       น่าสนใจมากทีเดียว เพราะคนไม่เห็นด้วยนับสิบล้านคน กำลังจับตาดูพฤติกรรมพวกมีอำนาจแล้วเหิมเกริมอยู่
       
       ตรงกันข้ามกับกลุ่มนปช. ได้มีกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย หรือ ผทร. จากเขต จ.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เดินทางมายังสนามทุ่งศรีเมือง เทศบาลนครอุดรธานี กว่า 3,000 คน เมื่อเร็วๆนี้ เพื่อเปิดเวที “ปกป้องตุลาการ กองทัพปลดแอกประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” โดยมี นายคำพอง โครตทา หรือ สหายคำพอง กองกำลังหน่วยที่ 33 ภูซาง จ.หนองบัวลำภู นายคมสัน โพธิ์คง อ.คณะนิติศาสตร์ มสธ. และแกนนำของกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จากจังหวัดต่าง ๆ สลับขึ้นปราศรัยให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมรับฟัง เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่ กลุ่มนปช. ออกมาร่วมลงชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
       
       ต่อมาในวันที่ 4 ก.ค. กลุ่มมวลชนจากกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ในนามกองทัพปลดแอกประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุดนี้หลายร้อยคน ได้เดินทางมาปักหลักชุมนุมที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ฝั่งทิศเหนือ ติดถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และให้กำลังใจการทำหน้าที่ของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
       
       ดูเหมือนว่า ทั้งระบบยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็น ศาลอาญา ศาลแพ่ง ทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา รวมทั้งศาลปกครอง และศาลรัฐธรรมนูญ...เครือข่ายทักษิณกวาดมาเป็น “ศัตรู” ทั้งหมด !!
       
       แล้วประเทศนี้ พวกนี้ จะมีมิตรกี่คน !!

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน



วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิด ที่สนามบินสุวรรณภูมิ

สำนวน ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิดไม่มิด มีความหมายว่า ความผิดหรือความชั่วร้ายแรง ที่รู้กันทั่ว จะปิดอย่างไรก็ไม่มิด เหมือนกับที่ ผู้บริหารบริษัทท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ( ทอท. ) กำลังปกปิดปัญหารันเวย์ ร้าว จนต้องปิดซ่อมรันเวย์ทิศตะวันออกไป 1 รันเวย์ นาน2 เดือน และปิดรันเวย์ฝั่งตะวันตก อย่างฉุกละหุกฉุกเฉิน เมื่อค่ำวัน ที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะผิวรันเวย์หลุดร่อนลึก 5 เซ็นติเมตร ทำให้เครื่องบินที่กำลังจะร่อนลงจอด ต้องไปลงที่สนามบินอื่น
       
       นายสมชัย สวัสดีผล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. และเป็นผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิด้วย บอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นเรืองปกติ เพราะรันเวย์ใช้งานมานาน ตั้งแต่ต้นปีมา เกิดเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว 6 ครั้ง และมีการซ่อมผิวรันเวย์ที่หลุดร่อนทั้งสองรันเวย์ ปีละ 200 ครั้ง ถือเป็นมาตรฐานของสนามบินนานาชาติทุกแห่งที่มีการซ่อมแซมลักษณะนี้
       
       คำพูดทำนองเดียวกันนี้ ถูกคัดลอกมาให้นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองว่า เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องปกติ เพราะวันนี้สนามบินสุวรรณภูมิมีการใช้งานมาหลายปีแล้ว จำนวนเที่ยวบินก็สูงกว่าที่คาดหมายไว้ เครื่องบินขนาดใหญ่มีมากขึ้นซึ่งก็เป็นไปตามกาลเวลา
       
       แต่สำหรับนักบิน ลูกเรือ และผู้โดยสารบนเครื่องบินทั้ง 11 ลำ ที่มีกำหนดลงจอด ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อค่ำวันที่ 5 กรกฎาคม เรื่องนี้ คงไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะพวกเขาต้องบินวนเหนือสนามบินเป็นเวลานาน กว่าจะรู้ว่า เกิดอะไรขึ้น และต้องไปลงจอดที่สนามบินอู่ตะเภา 7 ลำ ดอนเมือง 3 ลำ และเชียงใหม่ 1 ลำ แทน แต่มันคือ ความเสี่ยงของการใช้สนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีความไม่แน่นอนว่า จะลงจอดได้หรือไม่
       
       สำหรับสายการบิน ความเสี่ยงนี้ ทำให้เกิดความสูญเสียทางธุรกิจ ทั้งต้นทุนค่าน้ำมันเชิ้อเพลิง และ ผลกระทบต่อตารางการบิน สำหรับผู้โดยสารต้องเสียเวลาไปกับการรอคอย ต้องไปลงที่สนามบินอื่น และมีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยต่อชีวิต ถ้าหากว่า ผิวรันเวย์ในจุดที่เครื่องบินลง เกิ ดร่อนหรือหลุดเป็นหลุม ในตอนที่ล้อเครื่องบินแตะพื้นพอดี
       
       การปิดรันเวย์อย่างฉุกเฉินเมื่อค่ำวันที่ 5 กรกฎาคม เป็นสิ่งที่ฟ้องว่า อาการผิวรันเวย์ร้าว หรือหลุดร่อน หรือทรุดตัว สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีใครรู้ว่า จะเกิดตรงจุดไหน เมื่อไร จะรู้ก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องปกติ อย่างที่นายสมชัย และนายกฯยิ่งลักษณ์พูด และต้องการให้ประชาชนเชื่อ
       
       รันเวย์ สนามบินสุวรรณภูมิรวมทั้งแท็กซี่เวย์ ไม่ใช่เพิ่งจะมาร้าว หรือแตกตอนนี้ แต่ร้าว หลุดร่อน มาตั้งแต่เปิดใช้สนามบินใหม่ๆ ไม่กี่เดือน เมื่อห้าปีที่แล้ว รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ทำนายไว้ว่า รันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิจะร้าว และทรุด เพราะมีการทุจริตในการถมทราย เอาทรายที่ไม่อุ้มน้ำมาถม เพราะมีราคาถูกกว่า ทรายแม่น้ำ
       
       หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับวันที่ 6 และวันที่ 9 สิงหาคม 2548 พาดหัวข่าวว่า สนามบินสุวรรณภูมิร้าว ทำให้ นช. ทักษิณ ชินวัตร โกรธมาก สั่งให้หาตัวผู้เขียนข่าวชิ้นนี้ ซึ่งก็คือ นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ นักข่าวสายความมั่นคง ลูกหม้อบางกอกโพสต์ และกดดันให้ผู้บริหารบางกอกโพสต์ไล่นายเสริมสุข และนายชฎิล เทพวัลย์ บรรณาธิการข่าวออก ในขณะทีกระทรวงคมนาคม ซึ่งตอนนั้น นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล เป็นรัฐมนตรี ฟ้องบางกอกโพสต์ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 1 พันล้านบาท
       
       ดังนั้น ปัญหารันเวย์ร้าวจึงไม่ใช่เพิ่งเกิด หลังจากที่ใช้งานมาเพียง 6 ปี เพราะรับน้ำหนักมาก อย่างที่นายสมชัย และนายกฯยิ่งลักษ์ณ บอกกับสังคม แต่ร้าวมาตั้งแต่ยังไม่เปิด เมื่อเปิดใช้งานแล้ว อาการร้าวและแตกก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ เรื่อยมา จนเอา ในที่สุดต้องปิดรันเวย์ฝั่งตะวันออกบางส่วน เป็นเวลา 40 เพื่อซ่อม หลังจากนั้นไม่นาน เรื่องก็แดงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อต้องปิดรันเวย์ฝั่งตะวันตกอย่างฉุกเฉิน
       
       การก่อสร้างรันเวย์ สนามบินสุวรรณภูมินั้น เป็นบทที่หนึ่ง ใน ตำนานโคตรโกงของสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งนายสมชัย น่าจะรู้ดีที่สุดกว่าใครๆ เพราะเขาคือ หน้าห้องของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยรัฐบาลที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่เดือนกันยายน 2538 - กันยายน 2539 และต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2539 - เดือนตุลาคม 2540
       
       นายสมศักดิ์ ซึ่งขณะนั้น ยังสังกัดพรรคกิจสังคม ที่มีนายมนตรี พงษ์พานิช ผู้สร้างโครงการที่เป็นที่จดจำของคนไทย คือ โครงการโฮปเวลล์ เป็นหัวหน้าพรรค มีอำนาจกำกับดูแล การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ซึ่งตอนนั้น ยังไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียน และ บริษัท ท่าอากาศยานสากลแห่งใหม่ หรือ บทม. ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2539 เพื่อดึงอำนาจการควบคุม ดูแล สนามบินสุวรรณภูมิออกไปจาก การท่าอากาศยานฯ
       
       นายสมชัย ถูกส่งเข้าไปเป็นหู เป็นตา ดูแล การก่อสร้างสนามบิน สุวรรณภูมิ ใน บทม. ซึ่งโครงการใหญ่ในตอนนั้นคือ โครงการปรับปรุงคุณภาพดิน เพื่อก่อสร้างทางวิ่ง และทางขับ โครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ รือที่รู้จักกันในชื่อ โครงการถมทราย
       
       โครงการถมทรายนี้ บทม. ได้ว่าจ้างบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการในวงเงิน 11,650 ล้านบาท ในสมัยรัฐบาลนายบรรหาร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายสมศักดิ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กำกับดูแล บทม.
       
       โครงการนี้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในหลายเรื่อง ทั้งปัญหาด้านเทคนิคการปรับปรุงคุณภาพดิน การร้องเรียนถึงความไม่โปร่งใส ในการประกวดราคา ราคาสูงเกินความเป็นจริง การลงนามสัญญาเร่งรัดจนน่าสงสัย กล่าวคือ เป็นช่วงที่นายบรรหาร ประกาศยุบสภา และนายวันนอร์สั่งให้นายสมศักดิ์ชะลอการลงนามสัญญาออกไปก่อน เพื่อรอให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้พิจารณา แต่การลงนามสัญญาก็เกิดขึ้น ระหว่างที่เป็นรัฐบาลรักษาการ
       
       ในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ปรับลดขนาดสนามบินสุวรรณภูมิ โดยลดรันเวย์จากเดิม 2 รันเวย์ เหลือรันเวย์ ฝั่งตะวันตก เพียงรันเวย์เดียว จึงมีการลงนามกับบริษัท อิตาเลียนไทยฯ ใหม่ ในเดือนสิงหาคม 2540 โดยลดวงเงินปรับปรุงคุณภาพดินหรือถมทราย เหลือ 7,868 ล้านบาท ด้วยการเปลี่ยนวัสดุบางส่วนจากทรายเป็นหินคลุก
       
       ส่วนโครงการกอสร้างรันเวย์ที่สอง คือ รันเวย์ฝั่งตะวันออก ที่ปิดซ่อมอยู่ในขณะนี้ เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยกลุ่มวิจิตรภัณฑ์ -ประยูรวิศว์ เป็นผู้รับเหมา
       
       นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี เคยให้สัมภาษณ์เมื่อประมาณปี 2550 ว่า หลังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ได้ข่าวว่าผู้รับเหมานำทรายบก ซึ่งมีราคาถูกกว่าทรายแม่น้ำมาถมในสนามบินแทนที่จะใช้ทรายแม่น้ำ
       
       ในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ จุลานน์ ได้มีการตั้ง คณะกรรมการกลางตรวจสอบปัญหาแท็กซี่เวย์และรันเวย์ ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีนายต่อตระกูล ยมนาค เป็นประธาน ผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พบว่า ชั้นยางมะตอยซึ่งหนา 33 เซนติเมตร มีปัญหา เพราะเม็ดกรวดที่ใช้ผสมยาง มะตอยมีขนาดเล็ก ทำให้ไม่แข็งตัว จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการยุบตัว ส่วนชั้นคอนกรีตที่หนา 70 เซนติเมตร พบว่าคอนกรีตเหนือระดับทราย 50 เซนติเมตร มีการอุ้มน้ำ และในชั้นทรายก็มีการอุ้มน้ำเช่นกัน
       
       หลังจาก มีการเปลี่ยนรัฐบาล ตั้งแต่รัฐบาลพรรคพลังประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ มาจนถึงพรรคเพื่อไทย การตรวจสอบปัญหาการยุบตัว และรอยร้าวของรันเวย์ สนามบินสุวรรณภูมิก็เงียบหายไป แต่ปรากฎการณ์รันเวย์ร้าว รัยเวย์ยุบ กำลังฟ้องว่า มีสิ่งผิดปกติที่เกิดจากฝีมือของนักการเมืองซุกซ่อนอยู่ใต้รันเวย์ทั้งฝั่งตะวันตก และตะวันออก 
       
       การปิดรันเวย์อย่างฉุกเฉินเมื่อค่ำวันที่ 5 กรกฎาคม เป็นสิ่งที่ฟ้องว่า อาการผิวรันเวย์ร้าว หรือหลุดร่อน หรือทรุดตัว สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่มีใครรู้ว่า จะเกิดตรงจุดไหน เมื่อไร จะรู้ก็ต่อเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ดั
       
       นั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องปกติ อย่างที่นายสมชัย และนายกฯยิ่งลักษณ์พูด และต้องการให้ประชาชนเชื่อ...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน


รันเวย์ยุบตัว-เป็นหลุมต่อเนื่องอีกนาน

รันเวย์ยุบตัว-เป็นหลุมต่อเนื่องอีกนาน ผู้ใช้สนามบินสุวรรณภูมิต้องทำใจ, 
   อดีตผู้บริหารก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ยืนยันรันเวย์สุวรรณภูมิจะมีการยุบตัว เกิดเป็นหลุมได้ตลอดเวลา เชื่อวิธีการใช้ไปซ่อมไปดีที่สุด บอกทุกฝ่ายต้องยอมรับให้ได้ เหตุวิกฤตอากาศร้อนและแรงกดทับจากล้อเครื่องบินตัวปัญหาใหญ่ ทำให้พื้นยางมะตอยเสียหาย แนะสร้างรันเวย์ที่ 3 จะช่วยได้ 

       
       อดีตผู้บริหารการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวถึงกรณีพื้นรันเวย์สนามบินสุวรรณภูมิ ฝั่งตะวันตกยุบตัวเป็นหลุมกว้าง 60 เซนติเมตร ลึก 5 เซนติเมตร ว่าเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้เป็นผลจากการที่รันเวย์ตะวันตกต้องแบกรับน้ำหนักการขึ้น-ลงของเครื่องบินในปริมาณที่เพิ่มมากขึ้น อันเป็นผลมาจากการปิดซ่อมรันเวย์ตะวันออก ซึ่งจะใช้เวลาอีก 1 เดือนจากนี้ไปจึงจะแล้วเสร็จ
       
       อย่างไรก็ดีบริเวณที่เกิดการยุบตัวเป็นหลุมนั้น เกิดบริเวณที่เครื่องบินจะขึ้นสู่อากาศ (Take Off) จะต้องมีการเร่งสปีดเต็มที่ ทำให้ล้อกดทับจากการแบกน้ำหนักของเครื่องบิน อีกทั้งพื้นผิวรันเวย์เป็นพื้นผิวยางมะตอยจึงทำให้ยุบตัวได้ง่ายกว่าการที่รันเวย์เป็นพื้นผิวคอนกรีต
       
       “ถ้าเราก่อสร้างเป็นคอนกรีตซึ่งแม้จะมีอายุใช้งานนานถึง 20 ปี ยางมะตอยเพียง 7 ปี แต่คอนกรีตจะอันตรายกว่าตรงที่จะมีร่องในการเชื่อมต่อทุก 10 เมตร และเมื่อมีการทรุดตัวจากแรงกดทับจะเกิดเป็นมุมเหลี่ยมที่ทำให้ยางล้อเครื่องบินระเบิดได้”
       
       ดังนั้นเมื่อรันเวย์เป็นยางมะตอย จึงต้องยอมรับความจริงว่าจะเกิดปัญหาการยุบตัว เป็นหลุมในจุดพื้นผิว Taxi Way และรันเวย์ที่เครื่อง Take Off ได้ตลอดเวลา ซึ่งทางฝ่ายก่อสร้างก็ต้องใช้วิธีการซ่อมไปใช้ไป
       
       “จริง ๆ การยุบตัวเป็นหลุมของรันเวย์เจอปัญหาบ่อยมาก แต่ที่ไม่เป็นข่าวเพราะมี 2 รันเวย์ ขณะที่ปัจจุบันเหลือเพียงรันเวย์ตะวันตกเท่านั้นที่เปิดใช้”
       


       แหล่งข่าวอธิบายอีกว่า เดิม 80% ของเที่ยวบินในการบินขึ้นจะใช้รันเวย์ตะวันออก และบินลงจะใช้รันเวย์ตะวันตก ส่วนที่เหลือ 20% จะมีการผันแปรเป็นบางช่วง ทำให้รันเวย์ตะวันออกมีปัญหาการยุบตัวมากจึงต้องปิดซ่อมประมาณ 1,000 เมตรเป็นเวลา 2 เดือน และให้ไปใช้รันเวย์ตะวันตกทั้งขึ้นและลงของเครื่องบินทดแทน
       
       “รันเวย์ตะวันออก ช่วงนี้ขึ้นได้เฉพาะเครื่อง 737 เท่านั้น ส่วนเครื่องใหญ่ต้องใช้รันเวย์ตะวันตกทั้งหมด และแต่ละวันเรามีเครื่องบินขึ้นลง 7-800 เที่ยวต่อวันจึงแบกน้ำหนักไว้มาก”
       
       นอกจากนี้ด้วยสภาพภูมิอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลกระทบต่อพื้นยางมะตอยอย่างมาก เพราะทำให้พื้นผิวกรอบและล่อนง่าย จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ฝ่ายช่างของสนามบินเกิดความกังวลเพราะจะทำให้พื้นผิวล่อนและยุบตัวง่ายขึ้น
       
       ส่วนทางออกนั้น ควรอย่างยิ่งที่จะทำความเข้าใจกับประชาชนและผู้ใช้สนามบินได้รับทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้น และควรเชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นว่าปัญหาการยุบตัวนั้นจะไม่มีผลกระทบต่อเครื่องบินและผู้โดยสารแน่นอน
       


       “ในยุคที่ พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นประธานบอร์ด ทอท. เคยเปิดให้มีการขุดเจาะพิสูจน์เป็นพันจุดเพื่อตรวจสอบว่ามีการทุจริตนำทรายขี้เป็ดมาใช้ในการก่อสร้างสนามบิน และเป็นต้นเหตุให้สนามบินยุบตัวหรือไม่ ซึ่งผลการขุดเจาะก็ไม่พบและเรื่องนี้ก็ยุติปัญหาไปได้”
       
       รวมไปถึงจะต้องเร่งก่อสร้างรันเวย์ที่ 3 เข้ามารองรับการบริการของเที่ยวบินทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพราะต้องยอมรับความจริงว่าสนามบินสุวรรณภูมิจะต้องเปิดใช้ 2 รันเวย์จึงจะไม่มีผลกระทบหากมีการปิดซ่อม 1 รันเวย์
       
       “รันเวย์ที่ 3 เราได้มีการปรับปรุงคุณภาพดินไว้พร้อมแล้ว งบประมาณที่ต้องใช้ 3 พันกว่าล้านในการก่อสร้างก็พร้อมแล้ว แต่ปัญหาที่เราต้องรีบเคลียร์ก็คือผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อชุมชน ถ้าทุกอย่างเดินหน้าได้ก็จบ”...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์



วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตีแสกหน้า โพลสำรวจ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม


หลายครั้งที่สื่อมวลชนหยิบยกผลสำรวจจากโพลออกมานำเสนอสู่สาธารณะ ราวกับเป็นมติมหาชนของคนทั้งประเทศ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงเสียงสะท้อนความเห็นของคนบางส่วนเท่านั้น ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอนทำโพล ทั้งนี้ก็มีอิทธิพลต่อความคิดของผู้คนให้คล้อยตาม จนมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าผลโพลสำรวจเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือเพียงใด เอียงข้างรึเปล่า ทำเร็วเกินไปไหม และเป็นการชี้นำคนทั้งประเทศหรือไม่?
       
        โพล (Poll) หรือผลสำรวจของประชาชน ได้มีมานานแล้วในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยการทำโพลระยะแรกถูกนำมาใช้เพื่อการวิจัยทางวิชาการ จนกระทั่งโพลได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน สามารถแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ โพลเลือกตั้ง (Election Poll) และโพลความคิดเห็น (Opinion Poll)
       
        โพลสำรวจเริ่มเข้ามาใช้ในเรื่องการเลือกตั้งครั้งแรกที่เห็นอย่างชัดเจน โดย “นิด้าโพล” ตั้งแต่ปี พ.ศ.2518 จนกระทั่ง 8-9 ปีที่ผ่านมา “สวนดุสิตโพล” ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการและมีผลสำรวจด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้น 3-4 ปีให้หลัง ได้มี “เอแบคโพล” และ “กรุงเทพโพล” ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน และยังปรากฏเป็นโพลชื่อดังมาจนถึงปัจจุบัน บางครั้งโพลจากสถาบันต่างๆ เหล่านี้ก็กลายเป็นเครื่องชี้นำที่มีอำนาจต่อการตัดสินใจของคนทั่วประเทศเช่นกัน
       
       อย่าหลงเชื่อกับการหยั่งเสียง
        หลายคนมีความคิดว่าผลสำรวจจากโพลเป็นเครื่องมือชี้นำอย่างหนึ่ง ซึ่งมาจากตัวอย่างของกลุ่มประชากรเป้าหมาย หรือพูดง่ายๆ คือการหยั่งเสียงประชาชนกลุ่มหนึ่ง เพื่อเป็นตัวแทนของคนส่วนมาก ผลโพลจึงไม่ใช่ความเห็นของคนทั้งประเทศถึงแม้ว่าคนฟังโดยรวมจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าโพลสามารถกำหนดคำตอบได้
       
        การใช้กลุ่มตัวอย่าง 1,500-2,000 คนเป็นตัวแทนคนส่วนใหญ่ในการสำรวจ โพลจึงเป็นเสียงสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อเรื่องนั้นๆ ในช่วงเวลาสำรวจ และมีการเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาผ่านไป หรืออิงตามกระแสมากกว่าความเห็นส่วนตัว แม้ว่าจะมีการประเมินจากกลุ่มตัวอย่างจำนวนมากก็ตาม แต่ก็ไม่ได้บอกถึงความแม่นยำเสมอไป

       
        เมื่อผลของโพลไม่ได้แม่นยำอย่างที่หลายคนรู้สึก แต่ก็มักเห็นสื่อมวลชนหยิบยกผลของโพลที่ต่างๆ มีชื่อเสียงบ้าง ไม่มีบ้าง จากสำนักโพลนั้นโพลนี้ บางครั้งคนฟังไม่รู้จักชื่อเลยด้วยซ้ำ ซึ่งอาจไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือได้แล้วนำมาพูดอ้างอิงในการรายงานข่าว
       
       อีกทั้งการทำโพลมีการใช้กลุ่มตัวอย่างที่จำกัด โดยส่วนใหญ่จะเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองเท่านั้น แต่เมื่อสื่อมวลชนนำเสนอสู่สาธารณะ กลับกลายเป็นว่าคนต่างจังหวัด หรือคนชนบท ต้องยอมรับความเห็นที่เขาไม่มีโอกาสได้มีส่วนร่วมในโพลนั้นเลย และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นโพลบางสำนักจะใช้กลุ่มตัวอย่างเดิมซ้ำๆ โดยการประสานกับกลุ่มเครือข่ายที่มีเพื่อให้ช่วยตอบแบบสอบถามที่จัดเตรียมให้ นี่จึงเป็นคำตอบที่หลายคนมักถามว่าทำไมไม่เห็นมีใครมาถามบ้างเลย
       
        จึงมีความสอดคล้องกับความเห็นของ นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล ที่กล่าวว่า ผลสำรวจจากโพลไม่ใช่มติมหาชน แต่มันเป็นเพียงข้อมูลประเภทหนึ่งที่ผู้อ่านหรือพบเห็นต้องมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ซึ่งถ้าจะเชื่อก็ควรนำผลสำรวจจากโพล ไปประกอบกับแหล่งความเป็นจริงด้านอื่นๆ โดยระลึกอยู่เสมอว่าผลโพลไม่ใช่กรรมการตัดสินชี้ขาด และนักทำโพลเองก็ต้องไม่ให้น้ำหนักกับผลโพลเป็นเสมือนคำพิพากษา
       
       คำถามไม่ครบมิติ คือจุดอ่อนของโพล
        ส่วนใหญ่ยังคงมุ่งให้ความสำคัญกับประเด็นคำถามการเมือง จากกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นที่หลากหลาย ส่วนคำถามที่นำมาใช้ในการถาม และวัตถุประสงค์ที่จะใช้ถาม บางครั้งจึงมองเหมือนว่าโพลเอียงข้าง เพราะจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือการถูกว่าจ้างโดยพรรคการเมือง จึงเป็นที่มาของการปิดบังผลการสำรวจที่แท้จริง อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับโพลต่างๆ มาแล้ว ทำให้เกิดการตั้งคำถามที่ไม่ควรถามขึ้น
       
        “ถ้ารัฐบาลจะคอรัปชั่นบ้างแล้วประชาชนยังได้ประโยชน์อยู่รับได้ไหม”
        “ถ้านักการเมืองโกง ยอมรับได้หรือไม่”
        “ถ้าคนไทยได้ “คนเก่ง” มาเป็นนายกฯ แต่คนไทยไม่เลิกตีกันมีประโยชน์หรือไม่”
        หรือล่าสุด “นาซ่ามาใช้อู่ตะเภาเพื่อการศึกษาช่วยเหลือ เห็นด้วยหรือไม่” ซึ่งที่จริงควรจะถามว่า “ประเด็นการมาของนาซ่าที่ยังมีข้อสงสัยเคลือบแคลงกันอยู่ รัฐบาลควรรีบเร่งตัดสินใจหรือไม่”
       
        นอกจากคำถามยอดฮิตจะยกให้เรื่องการเมืองแล้ว ยังไล่ถึงการบริหาร ภาพลักษณ์ เศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชน และปัญหาสังคม สังเกตได้ว่าบางคำถามก็เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ที่จะถาม รวมถึงมีรายละเอียดคำถามไม่รอบด้าน จึงมีคนหยิบยกเรื่องนี้มาพูดถึงความเที่ยงตรงของโพลสำรวจต่อสถาบันที่ทำโพลสำรวจนั้นขึ้น ที่อาจขาดความน่าเชื่อถือและเป็นตัวชี้นำความเห็นของคนส่วนใหญ่ได้
       
        นายรชตะ สาสะเน สำนักงานคดี เคยกล่าวถึงผลกระทบของโพลต่อการเมืองในเว็บไซต์ lawamendmentว่า “สถาบันที่จัดทำโพลเพื่อความรู้ในประเด็นสาธารณะควรที่จะแยกเด็ดขาดจากสถาบันที่รับจ้างในการทำโพลเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือเพื่อผลประโยชน์ของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อธำรงไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของสถาบันที่ทำโพล เพราะบางครั้งสถาบันที่รับจ้างทำโพล อาจจำเป็นต้องปกปิดผลการสำรวจ ตามความต้องการของผู้จ้าง ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ประชาชนขาดความเชื่อถือ”
       
        ด้าน รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานดำเนินงานสวนดุสิตโพล และประธานที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กล่าวว่า ถ้าคำถามมีความไม่เป็นกลาง ใช้คำถามชี้นำ คำถามไม่ครบทุกมิติ จึงเป็นจุดอ่อนของโพล เพราะฉะนั้นในภาวะปัจจุบัน คงไม่มีใครใช้คำถามชี้นำตรงนั้น แม้คำถามเชิงปริมาณบอกว่าชอบหรือไม่ชอบรัฐบาล แต่มันก็จะมีลักษณะของเชิงคุณภาพว่าทำไมถึงชอบไม่ชอบ สำหรับสวนดุสิตโพลไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล เราจะสะท้อนความคิดเห็นออกมาจากคนทุกกลุ่ม ถ้าถามถึงฝ่ายรัฐบาลก็ต้องถามถึงฝ่ายค้านด้วย อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่หลายฝ่ายก็ต้องให้ความสำคัญเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ
       

       คนทำโพลต้องมีจรรยาบรรณ
        มีหลายขั้นตอนในการทำโพล ที่อาจมีความคลาดเคลื่อนเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญที่ไม่น่าให้อภัย คือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากผู้ทำโพลที่ขาดจิตสำนึกที่ดี ซึ่งอาจจะกระทำโดยจงใจหรือไม่ก็ตาม จึงมีประเด็นคำถามที่มักถูกถามบ่อยๆ เกี่ยวกับการทำโพล ไม่ว่าจะเป็น ทราบได้อย่างไรว่าโพลนั้นๆ มีความเป็นกลางหรือไม่, ขอให้หยุดทำโพลได้หรือไม่ เพราะเป็นการชี้นำ, ผลสำรวจโพลมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน, ขนาดตัวอย่างที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่, สำรวจทีไร ทำไมเราไม่เคยถูกถามเลย และโพลต่างๆ มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด
       
        ศิรินทิพย์ ยุติกะ เจ้าหน้าที่ฝ่ายประมวลผลข้อมูลนิด้าโพล กล่าวว่า “จรรยาบรรณ” เป็นคุณสมบัติสำคัญที่นักทำโพลทุกคนต้องมี ต้องไม่บิดพลิ้วต่อข้อมูล ต้องใช้ข้อมูลที่เป็นจริง ไม่ใช่เติมแต่งข้อมูลลงไป
       
        คุณสมบัติของนักทำโพลที่ดี ต้องเข้าใจในเรื่องระเบียบวิธีวิจัย ขั้นตอนการทำโพล มีความรู้รอบตัว ติดตามข่าวสาร เป็นกลาง ไม่มีอคติ เป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมการพัฒนาในสังคม ต้องไม่ส่งผลกระทบในทางลบ ต้องไม่เอื้อประโยชน์ต่อเพียงกลุ่มบุคคลเดียว รวมทั้งมีประสบการณ์ในทุกขั้นตอนของการทำโพลด้วย
       
        “จรรยาบรรณของนักทำโพลที่ดีต้องมีความเป็นกลาง การทำโพลต้องให้ประโยชน์ในแต่ละเรื่อง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองฝ่ายเดียว ต้องมีองค์กรที่ดี มีงานวิจัยทางวิชาการเป็นแบ็กอัพ และที่สำคัญต้องบอกที่มาของตัวเลขผลโพลได้อย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการทำโพลตรงนั้น” รศ.ดร.สุขุม กล่าวเสริม
       
        ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของโพลสมัยนี้ คือ การแข่งขันเรื่องความเร็ว โพลแต่ละสำนักทำผลสำรวจออกมาอย่างรวดเร็วทันใจ เพื่อทำเรตติ้งให้ตัวเองเป็นกระแสก่อนคนอื่น โดยไม่ดูเลยว่ามีประโยชน์ต่อสังคมหรือเปล่า หรือหวังแค่จะได้ขึ้นเป็นโพลแถวหน้าของเมืองไทย จนลืมนึกถึงคุณภาพ แม้ว่าเราจะอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสารฉับไว แต่บางครั้งความรวดเร็วก็ไม่ใช่คำตอบที่น่าเชื่อถือเสมอไป 
       
        รศ.ดร.สุขุม ได้ให้ความเห็นอีกว่า โพลเป็นความคิดเห็นของประชาชน ถ้าประชาชนไม่เชื่อถือ โพลก็ไม่สามารถอยู่ได้นาน ส่วนเรื่องการทำโพลออกมาเร็วไม่ได้เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือ เพราะยุคปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ทำให้ทำโพลได้รวดเร็วอยู่แล้ว และการทำโพลเร็วก็เป็นการตอบสนองความต้องการของประชาชน
       

       โพลออนไลน์ เชื่อได้หรือ?
        >>ในโลกดิจิตอลใครก็ทำโพลได้!?
        เมื่อโลกในแต่ละวันหมุนเวียนเปลี่ยนไป โพลจึงเกิดขึ้นมามากมาย และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงกระแสของสังคมโลก เมื่อโพลเล็กโพลน้อยเกิดขึ้นตามกันมาเป็นดอกเห็ด ชื่อเสียงโด่งดังก็มี แต่ที่ล้มหาย สาบสูญไปก็มาก รวมถึงโพลออนไลน์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก และมีความรวดเร็ว วิวัฒนาการยุคดิจิตอลจึงทำให้การทำโพลง่ายแค่พลิกฝ่ามือ แต่ไร้ความน่าเชื่อถือ
       
        นอกจากจะเป็นสำนักโพลที่มาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง อย่าง นิด้าโพล สวนดุสิตโพล รามคำแหงโพล กรุงเทพโพล เอแบคโพล และก็ยังมีองค์กรอิสระต่างๆ อีกมากมายที่มีการสำรวจวิจัยเช่นเดียวกัน หรือเรียกว่า “โพลออนไลน์” ซึ่งส่วนใหญ่ให้แสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาประมวลผล
       
        เมื่อลองรวบรวมโพลออนไลน์ ที่มีการสำรวจแบบสอบถามทางอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ตอนนี้มีมากกว่า 10 เว็บเพจ เช่น ไอเอเชียเซอร์เวย์, ทอร์คบายยู, มายเซอร์เวย์, ยัววอยส์, ร้อยแปดโพลดอทคอม และวีโหวต เป็นต้น
       
        สถาบันการทำโพลที่มีชื่อเสียงยังต้องใช้เจ้าหน้าที่นักวิจัย ดำเนินการ ประมวลผล แต่ข้อมูลที่ออกมาก็ยังมีการคลาดเคลื่อนได้ จึงไม่แม่นยำ 100% นี่ยังไม่พูดถึงโพลออนไลน์ ซึ่งอาจมีผิดพลาดเกิดขึ้นได้สูงกว่าหลายเท่าตัว 
       
        เฟซบุ๊กเว็บไซต์ชื่อดังของโลก ก็ยังมีแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า “Poll” ที่สามารถสำรวจความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ บน facebook ได้ เช่น การสำรวจความเห็นเรื่องการเมือง กีฬา หรือเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นการลงมติร่วมกันในกลุ่มคนรู้จัก
       
        ข้อดีของโพลออนไลน์ คือ ความเร็ว ได้ผลลัพธ์ออกมาทันเหตุการณ์ แต่ข้อเสียคือ กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการอาจไม่ใช่ มีความผิดพลาดสูงในขั้นตอนการประมวลผล จึงอาจทำให้ข้อมูลเกิดความผิดเพี้ยนไป และส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ
       
        ศิรินทิพย์ ยุติกะ กล่าวถึงโพลออนไลน์ว่า ไม่น่าจะมีความน่าเชื่อถือ เพราะการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทางออนไลน์จะใช้รหัสล็อกอินเพื่อเข้าไปตอบคำถาม ซึ่งอาจมีการใช้รหัสที่ซ้ำกันได้ แต่เป็นคนละคนกัน จึงไม่น่าเชื่อถือในเรื่องของกลุ่มตัวอย่างที่มีความสำคัญมากขั้นตอนหนึ่งในการทำโพล ซึ่งต้องดูทั้งเพศ อายุ การศึกษา ฯลฯ จึงอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการก็ได้ และบางคนอาจตอบไม่ตรงตามความเป็นจริง
       
        ทุกวันนี้โพลเมืองไทยในยุคข้อมูลข่าวสาร ไม่มีสถาบันไหนหรือองค์กรใดยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามีความน่าเชื่อถือจริง ฉะนั้นการฟังความเห็นจากผลโพลสำรวจ จึงควรรับฟังและพิจารณาเสริมจากแหล่งข้อมูลต่างๆ อย่างมีสติ เพื่อเป็นการป้องกันตัวเองก่อนที่จะถูกสื่อมวลชนและผลจากโพลสำรวจต่างๆ ชักจูงความคิดมาใส่หัวคุณง่ายๆ...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ :


วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อย่าหยุดแค่...นาซ่า

ภาพ แสดงแผนที่แปลงสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 ที่จะเริ่มประกาศเชิญชวนเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2555 
ณ บ้านพระอาทิตย์
     โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       เห็นนักการเมืองคนไทยถึงกับให้สัมภาษณ์ว่ากรณีที่องค์การการบินอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซ่าจะเข้ามาในประเทศไทยนั้นจะเป็นการทำให้ประเทศไทยสามารถรอดพ้นจากภัยพิบัติน้ำท่วมได้ ดังนั้นหากใครขวางโครงการนี้ก็จะต้องออกมารับผิดชอบ
       
        ทันทีที่มีข่าวนี้ก็ทำให้ต้องไปดูงานภัยพิบัติก็ยิ่งทำให้เห็นชัดว่า สหรัฐอเมริกา ขณะที่เขียนบทความนี้มลรัฐโคโรลาโดกำลังเผชิญหน้ากับไฟป่าที่ลุกลามอย่างหนัก อีกทั้งมลรัฐฟลอริดาก็กำลังเผชิญหน้ากับอุทกภัยที่มีพายุเข้าอย่างหนัก
       
        ที่สหรัฐอเมริกาไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดน้ำท่วม แต่เมื่อเกิดสถานการณ์จริงที่ลุกลามแล้วแล้วจึงค่อยประกาศเตือนภัยให้กับประชาชนทราบ
       
        พ.ศ. 2554 สหรัฐอเมริกาเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่รวมทั้งสิ้น 99 ครั้ง เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนหน้าที่มี 81 ครั้ง มีการประกาศภาวะฉุกเฉินจากภัยพิบัติ 29 ครั้ง เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนหน้าซึ่งมีเพียง 9 ครั้ง และประกาศการบริหารจัดการให้ความช่วยเหลือเพลิงไหม้ป่าอีก 114 ครั้ง เพิ่มขึ้นมากว่าปีก่อนหน้าซึ่งมีเพียง 18 ครั้ง หลักฐานเหล่านี้ก็น่าจะเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าถ้าสหรัฐอเมริกามีความสามารถทางเทคโนโลยีที่พยากรณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างแม่นยำ หรือสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้จริง เหตุใดภัยพิบัติเหล่านี้สหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้
       
        และคนที่มักจะบอกว่านาซ่าไม่เกี่ยวข้องกับการทหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่สามารถจะสรุปได้ว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการสำรวจขององค์การนาซ่านั้นจะไม่ได้ถูกนำมาใช้ในทางการทหารและทางด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกา
       
        โดยเฉพาะการสำรวจเกี่ยวกับ “เมฆ”และ “ชั้นบรรยากาศ”
       
        เพราะถ้าหากสหรัฐอเมริกามีเป้าประสงค์ที่จะต้องการสำรวจเรื่องเมฆและบรรายกาศเพื่อการพยากรณ์คาดการณ์ภูมิอากาศจริง เหตุใดจึงไม่ใช้องค์กรที่มีภารกิจและความเชี่ยวชาญโดยตรงซึ่งก็คือ NOAA หรือที่เรียกว่า National Oceanic and Atmospheric Administration
       
        NOAA เป็นองค์กรที่ทำงานไม่ใช่เพียงแค่พยากรณ์อากาศน้ำท่วมหรือฝนตก หิมะตกเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึงการสำรวจวิจัยทะเลด้วยทั้งชายฝั่งและใต้ท้องทะเลรวมไปถึงสมุทรศาสตร์ทั่วไป และยังทำงานไขปัญหาน้ำท่วมร่วมกับองค์กรสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐอเมริกา และกรมวิศวกรรมแห่งกองทัพบก
       
        แต่การที่สหรัฐอเมริกาส่งองค์การน่าซ่ามานั้น น่าจะต้องการใช้ผลการสำรวจนี้ในหลายด้านพร้อมๆกัน
       
        ทั้งนี้องค์การนาซ่ามีส่วนสำคัญทางการทหารของสหรัฐอเมริกาอย่างมากมาย หนึ่งในตัวอย่างที่สำคัญก็คือความร่วมมือระหว่างทหารบก ทหารเรือ องค์การนาซ่า และกองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาในนาม JANNAF (Joint Army Navy NASA Air Force) ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่ประกาศอย่างชัดเจนว่า ต้องการที่จะเป็นผู้นำของโลกในด้านการใช้พลังงานขับเคลื่อนในชั้นบรรยากาศและในอวกาศโดยตอบสนองความต้องการพลังงานการขับเคลื่อนทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
       
        ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าองค์การนาซ่าทำงานร่วมกับกองทัพสหรัฐอเมริกาได้อย่างแน่นอน
       
        แม้แต่เรื่องที่คนไทยเห็นว่าไม่เห็นเป็นประเด็นในทางการทหาร ทั้งๆที่ความจริงการสำรวจเมฆนั้นเป็นเรื่องทางการทหารได้เช่นเดียวกัน
       
        9 ธันวาคม พ.ศ. 2547 สำนักข่าวเอพี ได้เคยรายงานจากแองคอร์เรจ มลรัฐอลาสก้า ว่า นายริค เลห์เนอร์ โฆษกสำนักงานป้องกันขีปนาวุธ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การทดสอบการยิงสกัดที่จะยิงขีปานาวุธจากเกาะ โคกเดียก มลรัอลาสก้า ต้องชะลอไปและไม่สามารถทดสอบได้ โดยเหตุผลเพียงเพราะว่า....
       
       “มีเมฆหนา” 
       
        โครงการป้องกันขีปนาวุธนั้นได้มีการเตรียมทดสอบด้วยงบประมาณ 85 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2,550 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการโจมตีด้วยขีปนาวุธจากเกาหลีเหลือหรือที่อื่นในเอเชียตะวันออก แต่มาติดปัญหาเพียงเพราะมีเมฆมาก เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่เมฆและชั้นบรรยากาศก็มีความสำคัอย่างยิ่งในทางการทหาร
       
        แค่คิดตามจากข่าวข้างต้นนี้ก็ทำให้เห็นว่าหากกองกำลังเรือของสหรัฐอเมริกาที่จะเพิ่มการประจำการในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นี้เพิ่มขึ้นจาก 50% ให้กลายเป็น 60% ในปี พ.ศ.2568 ย่อมเข้าทำการศึกษาเมฆและชั้นบรรยากาศโดยทันที เพื่อความมั่นคงของกองกำลังเรือของสหรัฐอเมริกา
       
        ไม่ต้องพูดถึงโครงการ High Frequency Active Auroral Research Program หรือที่เรียกว่า โครงการ H.A.A.RP ซึ่งเป็นโครงการที่ทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพอากาศ กองทัพเรือ สำนักงานความก้าวหน้ากระทรวงกลาโหม และมหาวิทยาลัยอลาสก้า ที่มีการใช้คลื่นความถี่วิทยุ 3.6 ล้านวัตต์ขึ้นไปในชั้นบรรยากาศและสามารถสะท้อนกลับมาได้บนพื้นดิน ที่สร้างความหวาดระแวงให้กับรัฐบาลและรัฐสภาหลายประเทศโดยปรากฏเป็นหลักฐานแล้ว ได้แก่ เวเนซูเอล่า, รัสเซีย, สมาชิกสภาสหภาพยุโรป ฯลฯ ว่าสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอากาศได้ รวมถึงแผ่นดินไหวและสึนามิ ซึ่งลักษณะโครงการนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้จะถูกจับตาในการสำรวจชั้นบรรยากาศขององค์การนาซ่าในประเทศไทย
       
        โดยเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554 นายดิมิตตาร์ อูโซโนฟ และทีมงานซึ่งทำงานอยู่ที่ศูนย์การบินอวกาศ NASA Goodard ได้ตีพิมพ์บทความเผยแพร่รายงานทางวิชาการทางด้านเทคโลยีของสถาบันเทคโนโลยีแมตซาชูเซ็ทส์ (MIT) ระบุว่าการสร้างความร้อนในชั้นบรรยากาศในชั้นไอโอโนสเฟียร์นั้นทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ อีกทั้งยังได้ระบุอีกด้วยว่าพบความแปลกประหลาดในชั้นบรรยากาศก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น พร้อมทั้งชี้แนะและตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเกิดจากโครงการ H.A.A.R.F
       
        หลายคนอาจจะมีความเห็นว่าเรื่อง H.A.A.R.P นั้นเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ และจินตนาการ แต่ในความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่จะไปพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ แต่ความสำคัญก็คือมีรัฐบาลและรัฐสภาหลายประเทศมีความหวาดวิตกโครงการนี้น่าจะเป็นประเด็นสำคัญมากกว่า
       
        และประการสำคัญเทคโนโลยีขององค์การนาซ่ายังถูกเชื่อมโยงกับการแสวงหาพลังงานของกลุ่มทุนในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่องค์การนาซ่าเข้ามาสำรวจนั้น เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าที่จะเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 นี้
   วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2554 นายทรงภพ พลจันทร์ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งรักษาการอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า “รัฐเตรียมเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ 21 เน้นพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งมีปริมาณก๊าซธรรมชาติสูงถึง 5-10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต คิดเป็น 1 ใน 3 ของปริมาณในอ่าวไทย ชั้นความหนา 1-2 กิโลเมตร และมีโครงสร้างที่ใหญ่มาก กินพื้นที่มากว่า 1 แสนตารางกิโลเมตร ยันศักยภาพรองรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือผลิตก๊าซเอ็นจีวีป้อนได้ทั้งอีสานและคาดว่าใหญ่กว่าซาอุดีอาระเบีย”


   +++ทุกวันนี้กลุ่มบริษัทเชฟรอน ของสหรัฐอเมริกามีส่วนแบ่งปริมาณปิโตรเลียมที่พิสูจน์แล้วในการสัมปทานปิโตรเลียมในประเทศไทยโดยคิดปริมาณปิโตรเลียมคิดเทียบเท่าน้ำมันดิบ ประมาณ 1,255 ล้านบาเรล ถือเป็นผู้ที่ได้สัมปทานอันดับ 1 ในประเทศ และมีสัดส่วนถึง 50.7%+++
       
        ดังนั้นเชฟรอนเมื่อได้แหล่งพลังงานจากประเทศไทยในราคาค่าสัมปทานที่แสนถูก ครองตลาดเป็นอันดับหนึ่ง แถมยังจะมีสัมปทานราคาค่าภาคหลวงต่ำๆอีกกำลังจะเริ่มเปิดสัมปทานครั้งที่ 21 ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2555 นี้ แต่เมื่อภาคประชาชนเริ่มตื่นรู้การเสียผลประโยชน์ทางพลังงานของชาติไทยเพิ่มมากขึ้น การเคลื่อนกองกำลังเรือเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของสหรัฐอเมริกาจึงกลายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเพื่อดูแลคุ้มครองผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเอง
       
        ทั้งนี้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ห้องปฏิบัติการการขับเคลื่อนก๊าซหรือของเหลวที่พ่อออกมาด้วยความเร็วขององค์การนาซ่า ที่เรียกว่า The NASA Jet Propulsion Laboratory ได้ประกาศเป็นหุ้นส่วนกับเชฟรอน ในอันที่จะพัฒนาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสำหรับสิ่งแวดล้อมที่หยาบกระด้าง รวมทั้งในอวกาศและบนบก เช่น ระบบปั้ม, วาล์ว, การบริหารจัดการ, ระบบตรวจสอบบ่อลึก โดยเชฟรอนระบุว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ต้องการที่จะค้นหาน้ำมันและก๊าซทั้งบนโลกและอวกาศได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
       
        โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องบินสำรวจ ER2 นั้น ที่จะเข้ามาสำรวจในประเทศไทยโดยองค์การนาซ่านั้น มีประวัติหลายด้านทั้งการสำรวจชั้นบรรยากาศ การทำงานร่วมกับดาวเทียมในการสำรวจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และการดัดแปลงอุปกรณ์เพื่อจารกรรมข้อมูลทางการทหาร
       
        ไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลใดแต่การเดินหน้าโครงการนี้โดยไม่เปิดเผยข้อตกลงให้ประชาชนและสาธารณชนได้รับทราบ สังคม ประชาชน และสื่อมวลชน ย่อมมีสิทธิ์สงสัย ทั่วโลกย่อมมีสิทธิ์หวาดระแวง ดังนั้นการปกปิดข้อมูลในเรื่องนี้โดยอ้างลอยๆว่าไม่ใช่ภารกิจด้านการทหารแต่เป็นการดำเนินการทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ผู้มาเจรจาเป็นทหารนั้น ย่อมเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจได้เลย
       
        ดังนั้นการที่องค์การนาซ่ายกเลิกภารกิจที่สนามบินอู่ตะเภา โดยอ้างว่าประสานงานยุ่งยากนั้น ต้องถือว่าเป็นความโชคดีของประเทศไทยแล้ว เพราะจะมาทำสิ่งใดโดยที่ไม่เปิดเผยข้อตกลงให้คนไทยได้ทราบทั้งๆที่มีพฤติกรรมที่หลายประเทศหวาดระแวง ก็ไม่ควรมาทำภารกิจลับๆล่อๆในแผ่นดินไทย หรือทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสมรภูมิแห่งความขัดแย้งของมหาอำนาจโดยไม่จำเป็น
       
        หลังจากที่องค์การนาซ่าได้ยุติบทบาทตัวเองแล้ว สิ่งที่ประชาชนควรจะต้องเฝ้าระวังต่อไปก็คือภารกิจในการตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยและมนุษยธรรมของสหรัฐอเมริกา และการเข้าสัมปทานปิโตรเลียมครั้งที่ 21 ทั้งบนบกและอ่าวไทยในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2555 นี้เป็นต้นไป
       
        ต้องเฝ้าระวังชนิด “ห้ามกระพริบตา”โดยเด็ดขาด!!! 


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 28 มิ.ย. 55 16:23 น.