วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สุดจะทนกับอัยการสูงสุด




จุดเริ่มต้นของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ท่ามกลางเสียงคัดค้านและความเห็นแตกต่างที่รุนแรง นักการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็ยังพยายามดันทุรังกันสุดลิ่มทิ่มประตู เพียงเพราะใบสั่งจากนายใหญ่ดูไบนั่นเอง
เหตุผลสำคัญที่คนหนีคุกอยากแก้ไขรัฐธรรมนูญจนตัวสั่น ก็เพราะมีบทบัญญัติชัดเจนที่ห้ามมิให้ผู้ที่ถูกศาลตัดสินจำคุกและคดีถึงที่สุดแล้ว เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่าระดับใด แม้แต่จะเป็นสมาชิก อบต. หรือกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็เป็นไม่ได้
       
        ที่หาเสียงไว้จากต่างแดนว่าจะกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้ง กลายเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ หากไม่แก้รัฐธรรมนูญเสียก่อน ควบคู่ไปกับการเร่งรีบออก พ.ร.บ.ปรองดอง ทำเป็นยกโทษให้ทุกคน ทุกกลุ่ม แต่คนที่ได้ประโยชน์มากกว่าใครเพื่อนก็คือนักโทษชายหนีคดีอย่างทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ซึ่งนอกจากคดีความที่ค้างคาในศาลก็เลิกกันไป ไม่ต้องติดคุกติดตาราง ยังจะได้เงินคืนอีก 4.6 หมื่นล้าน ถ้าออกกฎหมายฉบับนี้ได้ก็เท่ากับทำลายกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยให้ย่อยยับลงไปด้วย
       
        ทันทีที่พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ถูกนำเสนอโดยบิ๊กบัง (ผู้ซึ่งบัดนี้เปลี่ยนจากประธาน คมช. มาเป็นหัวหน้า คชท. หรือหัวหน้าคนรับใช้ทักษิณ) ถูกประณามก่นด่าไปทั่วบ้านทั่วเมือง และถูกคัดค้านอย่างรุนแรงจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนต้องปล่อยเรื่องค้างไว้
       
        ความวัวไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก ในวันที่ 1 มิถุนายน 2555 นั่นเอง ศาลรัฐธรรมนูญแถลงรับคำร้องของประชาชนที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยและสมาชิกรัฐสภา ตลอดจนสมาชิกวุฒิสภาบางส่วนมีกระทำการล้มล้างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตย และขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญมาตรา 68
       
        ศาลรัฐธรรมนูญจึงได้แจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและขอให้ระงับการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขในวาระ 3 ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาตัดสินคดีในเดือนกรกฎาคม 2555 เป็นเหตุให้นักโทษหนีคดี ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับคลุ้มคลั่งนั่งไม่ติดที่ ต้องลุกมาโฟนอินโจมตีศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่เคยบอกว่าจะเลิกโฟนอินมาหาคนเสื้อแดงแล้ว ก็ต้องยอมผิดคำพูด รถคว่ำไปแล้วจะกลับมาขอลงเรือต่ออีก สมุนไพร่ทั้งหลายที่อยู่ในพรรคเพื่อไทย รวมทั้งคนเสื้อแดงนอกพรรค และสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่เพิ่งพ้นโทษต่างก็ออกมาผสมโรงสอดรับกันเป็นลูกระนาด
       
        ที่น่าอดสูใจก็คือ เลขาธิการรัฐสภาออกมาแถลงชี้แจงว่าศาลไม่มีอำนาจสั่งสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนที่ต้องออกมาแถลง พวกนายว่าขี้ข้าพลอยร่วมผสมโรง ทั้งกลุ่มนิติราษฎร์ และอาจารย์นิติศาสตร์สีแดงทั้งหลาย ดาหน้ากันออกมาถล่มศาลรัฐธรรมนูญกันยกใหญ่ ทั้งที่ศาลเพียงแค่รับคำร้องเท่านั้น ยังไม่มีคำวินิจฉัยใดๆ ออกมาด้วยซ้ำ
       
        หลังจากศาลรัฐธรรมนูญออกมาชี้แจงรายละเอียดอีกครั้ง คนสุดท้ายที่ออกมาแถลงข่าวได้อัปยศที่สุด คือ “อัยการสูงสุด” คราวนี้ยกข้อกฎหมายมาว่าเป็นฉากๆ สรุปคือจะไม่ส่งเรื่องของผู้ร้องทั้ง 5 รายไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากคดีไม่มีมูล สมาชิกรัฐสภาและสมาชิกวุฒิสภาที่แก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นกระทำการโดยชอบด้วยกฎหมาย
       
        อัยการสูงสุดกระทำตัวเป็นศาลเตี้ยตัดสินคดีเสียเอง โดยไม่ต้องเรียกผู้ร้องมาสอบแม้แต่คนเดียว หาข้ออ้างตามรัฐธรรมนูญให้ฟังดูน่าเชื่อถือ ทั้งๆ ที่กรณีนี้เขาไม่ได้ให้อำนาจอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาส่งฟ้องหรือไม่เหมือนคดีอาญาอื่นๆ ยังไม่ต้องมองในข้อกฎหมาย แต่ถามว่าเขาร้องเรียนไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2555 ไปมัวมุดหัวทำอะไรกันอยู่ ถึงได้เพิ่งจะมารีบพิจารณาหลังศาลรับคำร้องแล้ว อ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ที่ล่าช้าเพราะสภาไม่ส่งเรื่องให้ แต่พอแถลงข่าวได้ไม่กี่วันจึงได้รับเรื่องและพิจารณาอย่างรวดเร็ว แถมยังออกมาการันตีว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่จะร่างขึ้นใหม่นี้ จะไม่ล้มล้างระบอบการปกครองในรูปแบบเดิมและหลักการเดิม ทั้งที่เห็นๆ กันอยู่ว่าเขาจ้องจะล้มศาลบางส่วน ให้อำนาจการแต่งตั้งผู้พิพากษาขึ้นอยู่กับรัฐสภา แม้แต่บางคนยังแพลมออกมาว่าถึงกับจะแตะในหมวดของพระมหากษัตริย์ ให้ปฏิญาณตนต่อรัฐสภาก่อนขึ้นครองราชย์ อัยการสูงสุดยังจะมีหน้ามาแถลงรับรองให้กับผู้ถูกกล่าวหาละเอียดเสียยิ่งกว่าผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงเอง ทำให้ขบวนการล้มศาลรัฐธรรมนูญได้ใจ กล่าวร้ายหนักขึ้นไปอีก
       
        อัยการสูงสุดไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย การกระทำครั้งนี้ละเมิดรัฐธรรมนูญชัดแจ้ง กระทำเกินกว่าอำนาจหน้าที่ของตน คุณจะมีความเห็นส่วนตัวอย่างไรก็ได้เป็นสิทธิของคุณ แต่โดยอำนาจหน้าที่แล้วก็ไม่ควรออกมาแถลงต่อสาธารณะและต้องส่งต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การกระทำของอัยการสูงสุดแสดงให้เห็นว่าอิงนักการเมือง คดีของวัดธรรมกายที่อัยการเองสั่งฟ้องไปแล้ว พอมีใบสั่งทักษิณ อัยการกลับยอมถอนคดี และวัดนั้นก็กลายสภาพมาเป็นที่พักพิงของขบวนการป่วนบ้านป่วนเมืองอยู่ทุกวันนี้ อัยการสูงสุดจึงสมควรถูกกล่าวหาในคดีอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
       
        บ้านเมืองนี้มีธรรมคุ้มครองแผ่นดิน อย่าคิดว่าใครจะมาครอบครองกันได้ง่ายๆ ด้วยอำนาจเงินและความชั่ว ชาวพุทธอย่างเราๆ เชื่อในผลของกรรม “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” สัตว์โลกย่อมเป็นเป็นไปตามกรรม ทำกรรมอะไรไว้ ก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ไม่มีใครหนีพ้นสัจธรรมข้อนี้ไปได้
       แล้วเราจะได้เห็นอัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ฯลฯ ต้องชดใช้กรรมหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่นานเกินรอ...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 10 มิถุนายน 2555 16:29 น.




0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น