This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ปตท.ทรราชน้ำมัน...บน...น้ำตาคนไทย(ตอนหนึ่ง)

สอดแนมการเมือง

       โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
       
       ผู้นำการเมืองดี-ต้องไม่หาประโยชน์เพื่อตนและพวก แต่จะทำทุกสิ่งให้ชาติและประชาชนได้ประโยชน์ เพื่อชาติเจริญและคุณภาพชีวิตประชาชนดีขึ้น
       
        ผู้นำการเมืองที่ดียังต้องคำนึงเสมอว่า ต้องสร้างความเป็นธรรมให้แก่สังคม ดังนั้น กระทรวง-ทบวง-กรม-รัฐวิสาหกิจที่สำคัญของชาติบางแห่ง ต้องไม่คิดแต่จะหากำไรหรือต้องยอมขาดทุน โดยรัฐให้การสนับสนุนช่วยเหลือทั้งการเงิน และการคลังตามความจำเป็นอย่างต่อเนื่อง
       
       เพื่อให้บริการแก่ประชาชนและช่วยลดค่าใช้จ่าย ที่จำเป็นให้ผู้มีรายได้น้อย เช่น การขนส่งมวลชน การสาธารณสุข การศึกษา การเกษตรและอุตสาหกรรมขนาดกลางกับเล็ก การผลิตสิ่งที่จำเป็นต่อการยังชีพ การรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
       


       ส่วนการลงทุนต่างชาตินั้น ต้องควบคุมดูแลมิให้เข้ามาเอาเปรียบ จนทำให้ชาติและประชาชนต้องเดือดร้อน และสูญเสียทรัพยากรสำคัญทุกด้านโดยไม่คุ้มค่า โดยเฉพาะการนำสภาพแวดล้อมที่อันตราย ทั้งต่อชีวิตมนุษย์-สัตว์-ธรรมชาติมาสู่ผืนแผ่นดินอีกด้วย
       
        หลักการที่ชาติและประชาชนมาก่อนเป็นอันดับแรกนี้ นักการเมืองที่เป็นผู้นำชาติที่ดี ต่างยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จนเป็นคุณธรรม-จริยธรรม-ศีลธรรม เป็นธรรมแห่งการปกครอง ที่ผู้นำทุกคนทุกชาติพึงกระทำโดยมิบิดพลิ้ว
       
        80 ปี..ที่ระบบเลือกตั้งซื้อเสียงและโกงได้ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยจอมปลอม ได้เผยปรากฏการณ์จริงมากมายให้คนไทยรู้ว่า ยิ่งมีการเลือกตั้งสามานย์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ นับวันชาติไทยจะได้ผู้นำและรัฐบาล ที่คุณภาพต่ำลงและชั่วช้ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
       
       โดยเฉพาะยุครัฐบาล“แม้ว”กับนอมินีครองเมือง ชาติและประชาชนต้องเผชิญการโกงชาติอย่างหนัก สังคมก็เต็มไปด้วยความชั่วและการโกหกหลอกลวง เพราะชาติมีแต่“ผี-โม่แป้ง”สารพัดชนิด ทั้งผี-นักการเมือง-นักวิชาการ-สื่อมวลชน-อันธพาลการเมือง ฯลฯ
       
       เรียกว่า..แม้ว..เป็นศูนย์รวมแห่งความชั่ว และยังเป็นศูนย์กลางสร้างเรื่องเลวๆ ให้ชาติทุกมิติ! 
       
       หากจะร่ายยาวความชั่วแม้วให้ครบทุกมิติ คงไม่มีวันบรรยายได้ครบถ้วนจนจบกระบวนความ เพราะแม้วทำความชั่วทั้งลับและเปิดเผยมากจนเหนือจินตนาการ
       


       แค่เรื่องโคตรโกงของ “ปตท.ทรราชน้ำมัน” ที่ทำให้แม้วกับพวกรวยพุงปลิ้นเป็นแสนล้านบาท ท่ามกลางคราบน้ำตาและทุกข์เข็ญของคนไทยทั้งชาติ แม้วกับพวกก็ไม่ควรเป็นคนไทยแล้ว
       เพราะโกงกันซึ่งๆหน้าแบบเลือดเย็น เป็นขบวนการโกงทั้งรัฐบาล-รัฐสภาฯ-ข้าราชการรัฐวิสาหกิจชั่วๆเลยทีเดียว แต่ก่อนอื่นคนไทยเราต้องรู้นะว่า..น้ำมันสำคัญไฉน..?
       
       น้ำมัน-คือ-ทองคำสีดำ-เป็นธุรกิจหลักที่ทำรายได้ ให้มหาอำนาจทั้งอเมริกาและยุโรปจนร่ำรวยมหาศาล กลุ่มมหาเศรษฐีผู้ค้าน้ำมันโลกจึงมีอิทธิพล กับทุกรัฐบาลมหาอำนาจในโลกนี้ เพราะเป็นนายทุนใหญ่ที่สนับสนุนเงิน ให้นักการเมืองและพรรคการเมืองทุนนิยมสามานย์ตะวันตก
       
       บางครากลุ่มมหาเศรษฐีน้ำมันโลก ยังส่งคนของตนเข้าไปเป็นถึงประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี ของประเทศอเมริกาและยุโรปบางประเทศ เพื่อทำให้ธุรกิจกลุ่มตนบรรลุเป้าหมาย ประธานาธิบดีพ่อ-ลูกตระกูล“บุช” และรองประธานาธิบดี“ดิ๊ก เชนีย์”ของ“บุช”ผู้ลูก ล้วนมีธุรกิจเกี่ยวข้องกับธุรกิจค้าน้ำมันมากมาย เช่น “ยูโนแคล”และ“เชฟรอน” รวมทั้งธุรกิจอุตสาหกรรมทหารหรือการค้าอาวุธอีกด้วย
       
       ”ไมเคิล มัวร์” ผู้สร้างหนังสารคดีเรื่อง“Fahrenheit 9/11”ระบุว่า“คาร์ไลล์ กรุ๊ป”(Carlyle Group) ที่“เจมส์ เบเกอร์”อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของ“บุช” เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นที่ปรึกษาอาวุโส ให้กลุ่มอดีตผู้นำสหรัฐบางคนลงขันดึงผู้นำหลายประเทศมาเป็นสมาชิก เพื่ออาศัยข้อมูลอินไซเดอร์ของแต่ละประเทศ เก็งกำไรค่าเงินเข้าไปถือหุ้นปั่นราคาและทุบหุ้นในทุกภูมิภาคของโลก
         “มัวร์”ระบุว่า“บุช”กับ“แม้ว”มีชื่ออยู่ด้วย แต่ไม่ถึงปี..แม้วก็ลาออกมาเป็นนายกฯคนที่ 23 ของไทย!
    
   
        แสดงว่า..แม้วกับตระกูลบุชสนิทกันมาก ชนิดเคยหากินแบบไม่โปร่งใสกันมาแล้ว จึงทำให้บริษัทน้ำมัน“เชฟรอน”กับ“ยูโนแคล” มี“ตั๋วพิเศษ”เข้าออกทำเนียบฯไทยกับกัมพูชา เจอทั้งนายกฯ“ปูแดง”กับนายกฯ“ฮุนเซน”ลับและเปิดเผยได้ตลอดเวลา
       
        ฟันธงได้เลยว่า..ไม่นาน-แม้ว-ฮุนเซน-บุชแห่ง“เชฟรอน” คงได้สวาปามบ่อน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาแน่ แต่ชาติไทยซวยตรงมีผู้นำชาติขายตัว จึงต้องเสียแผ่นดินบางส่วนให้“ทรราชฮุนเซน”เป็นของแถม
       
        รัฐบาลอเมริกากับยุโรปจึงพร้อมจะทุกอย่าง เพื่อให้ได้บ่อน้ำมันมาเป็นของชาติตน เช่น รวมหัวกันใช้สื่อโฆษณาลวงโลกว่า อิรักมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง เป็นอันตรายต่อสันติภาพโลก จากนั้นสหรัฐกับพันธมิตก็ยกพลบุกยึดและฆ่าผู้นำอิรักดื้อๆ หลังจากนั้นก็ให้นายทุนน้ำมันอเมริกา-ยุโรป ขนน้ำมันของอิรักไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋ารวยกันอื้อซ่า
       
        สงครามอิรัก..ไม่ได้ทำให้อเมริกันชนกินดีอยู่ดีขึ้นเลย ทั้งๆที่รัฐบาลสหรัฐใช้เงินภาษีคนทั้งชาติไปกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์!
       ประเทศอาฟกานิสถานมีทั้งน้ำมันและก๊าซจำนวนมาก อเมริกากับยุโรปเลยอ้างเรื่อง“บิล ลาเดน”ที่เป็น“ผู้ก่อการร้ายหมายเลข1”ของตะวันตก บุกยึดประเทศนี้จากรัฐบาล“ตาลีบัน” เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ยึดเสร็จ..รัฐบาลสหรัฐก็ส่งนาย“ฮามิต การ์ไซ” ผู้บริหารบริษัทน้ำมัน“ยูโนแคล” ให้เป็นประธานาธิบดีอัฟกานิสถานแบบหน้าด้านๆ เลย
       พฤติกรรมเอาแต่ได้ของอเมริกาและยุโรปบางประเทศ ที่ใช้ข้ออ้างดูแลสันติภาพโลกบังหน้า เพื่อตักตวงประโยชน์ชาติอื่นอย่างอยุติธรรม ยังความแค้นให้กับชาติที่ถูกเอาเปรียบในโลกมากมาย
       


        ทว่า..นั่นเป็นความรู้สึกผู้คนในประเทศที่ถูกเอาเปรียบ แต่รัฐบาลอเมริกากลับคิดตรงกันข้าม!
        ยิ่งวันนี้..ศึกแย่งชิงน้ำมันโลกดุเดือดมากขึ้น เพราะ“จีน”จับมือกับ“รัสเซีย”เข้าครองบ่อน้ำมันหลายแห่งในโลกได้ และกำลังขยายการครองบ่อน้ำมันไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกอีกด้วย
      เพื่อรักษาผลประโยชน์และให้ได้บ่อน้ำมันในโลก รัฐบาลสหรัฐจึงทุ่มเงินมากเป็นอันดับ 1 ของโลก สูงถึง 711,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างกองทัพและอาวุธสงคราม ให้แข็งแกร่งทันสมัยที่สุดในโลก
       
        แต่ด้วยนโยบายผิดพลาดต่อเนื่องในหลายมิติสำคัญ ประเทศอเมริกาที่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก ได้กลายสภาพเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของโลกไปเสียแล้ว
       กองทัพและอาวุธร้ายแรงเพื่อทำสงครามเหล่านี้ ได้ทำให้มหาเศรษฐีอเมริกันกลุ่มหนึ่ง รวยไม่มีที่สิ้นสุดหรือรวยไม่รู้จักพอ ในขณะที่ชาวอเมริกันผู้ยากไร้ส่วนใหญ่ ต้องเดือดร้อนแสนสาหัสกับการถูกตัดงบประมาณสวัสดิการลงอย่างมากมาย
        อีกทั้งความโลภของมหาเศรษฐีไม่กี่คนเหล่านั้น ยังก่อให้เกิดสงครามการเข่นฆ่าชีวิตผู้คน ทั้งเด็ก-ผู้หญิง-คนชรา ทั้งๆที่ผู้คนเหล่านั้นไม่เคยรู้จักกัน-ไม่เคยโกรธแค้นกัน-คนละชาติพันธุ์- คนละศาสนา ฯลฯ แต่กลับต้องบาดเจ็บ-พิการ-ล้มตาย อย่างทรมานเหลือคณานับโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่
   
    
        สันดานละโมบของมหาเศรษฐีโลกบางคน กับการยึดอำนาจรัฐโลกไว้ในกำมือ เพื่อสร้างความร่ำรวยบนความทุกข์ยากและความตายของผู้คน ช่างไม่ได้ต่างอะไรกับมหาเศรษฐีแม้ว และบรรดานักการเมืองชั่วในชาติไทยเลย
       
        เพราะมหาเศรษฐี”แม้ว”นั้น..บ้าอำนาจและเงินทองชนิดไม่รู้จักพอเช่นกัน!
       
        โดยเฉพาะ“แม้ว”ได้สร้างปรากฏการณ์สามานย์ โดยนำเอาผลประโยชน์ของชาติหรือ“องค์กรน้ำมันแห่งชาติ” ที่ตั้งขึ้นเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน แถมยังทำกำไรให้กับชาติไทยมาโดยตลอด ไปเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือไปเป็น”สมบัติของกลุ่มบุคคล” ด้วยข้ออ้างอันเจ้าเล่ห์ว่า จะทำให้ ปตท.มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
       แต่นั่นเป็นเพียงคำต้มตุ๋นของแม้วเท่านั้น เพราะ ปตท.ที่เป็นบริษัทมหาชน กลับมุ่งแต่ขายน้ำมันในราคาแพงเกินจริงให้ประชาชนมาตลอด จนทำกำไรหลายแสนๆล้านบาท ให้ผู้บริหารปตท.และผู้ถือหุ้น ที่มีนักการเมืองชั่วไม่กี่คนร่ำรวยกันจนพุงปลิ้น
   
    
       เรื่องชั่วสุดๆ ของแม้วแบบนี้ “ครูอังคณา”คนเดียว“เอาไม่อยู่”แน่ ต้องให้“ครูสนธิลิ้ม-ครูจำลอง-ครูพิภพ-ครูสมเกียรติ”กับ“คนไทยทุกคน”มาจัดการ ถึงจะ“เอาอยู่”จริงไหมครับ..?





ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 11 พฤษภาคม 2555 18:08 น.
ภาพประกอบจาก  Internet



ปตท.ทรราชน้ำมัน...บน...น้ำตาคนไทย(ตอนสอง)




สอดแนมการเมือง
       โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
       
       น้ำมัน-ก๊าซ-เป็นทรัพยากรธรรมชาติมีค่าดุจ“ทองคำ” คนไทยต้องหวงแหนและใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด!
       
        ประเทศที่เป็นเจ้าของแหล่งน้ำมันและก๊าซ อันมีค่า มักด้อยกำลังทหารที่จะคุ้มครองทรัพยากรของชาติตน อีกทั้งยังด้อยเทคโนโลยีในการนำน้ำมันและก๊าซขึ้นมาใช้เพื่อทำคุณประโยชน์หรือขายในราคาที่ยุติธรรม เพื่อนำเงินมาพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้คนในชาติ
       
       ประเทศเจ้าของน้ำมันและก๊าซจึงถูกประเทศมหาอำนาจตะวันตกเอาเปรียบ ด้วยการจ่ายผลตอบแทนให้ต่ำมาก จนไม่คุ้มค่ากับการต้องสูญเสียน้ำมันและก๊าซที่กลุ่มพ่อค้าน้ำมันนำไปค้าขายมาโดยตลอด
       
        ยังดีที่วันนี้-จีน-รัสเซีย-ญี่ปุ่น-เกาหลี มีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติเพิ่มขึ้น ทำให้ประเทศเจ้าของแหล่งน้ำมัน มีช่องทางในการต่อรองซื้อ-ขายเพิ่มขึ้นโดยปริยาย
       
       เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก ผู้นำประเทศเจ้าของแหล่งน้ำมัน ต้องแก้ปัญหาความเดือดร้อนทุกมิติภายในชาติของตน ทำให้หลายประเทศในลาตินอเมริกา ได้ประกาศซื้อหุ้น-ยึด-แหล่งน้ำมันและก๊าซ คืนจากบริษัทลงทุนของต่างชาติกลับสู่รัฐหลายแห่ง
        งานนี้..เล่นเอามหาอำนาจตะวันตก ที่ร่ำรวยกับการซื้อ-ขายน้ำมันและก๊าซ ตกใจกันใหญ่
       
       ประเทศเวเนซุเอลา เป็นสังคมเกษตรกรรม มาพบน้ำมันในสมัยประธานาธิบดี คาร์ลอส อันเดรส เปเรซ จากชาติเกษตรกรรมจึงกลายเป็นอุตสาหกรรม ผู้คนเปลี่ยนเป็นคนงานตามโรงงานเหล่านั้น
       จน..ผัก-ผลไม้-หมู-เป็ด-ไก่และผลิตภัณฑ์การเกษตรทุกชนิด ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศทั้งหมด ทั้งๆที่เวเนซุเอลามีที่ดินมากกว่าเมืองไทยเกือบ 2 เท่า อดีตมูลค่าเกษตรกรรมในจีดีพีมีมากกว่า 60% เดี๋ยวนี้เหลือแค่ 6% เท่านั้น
      

       เวเนซุเอลา-เจ๊งเพราะอดีตประธานาธิบดี“เปเรซ” ที่บ้าทุนนิยมและไม่มองโครงสร้างของประเทศตัวเอง เขานำนโยบายประชานิยมเข้ามาใช้เป็นครั้งแรก ทำให้ประชาชนคนส่วนใหญ่คอยว่า เมื่อไหร่รัฐบาลจะเอาอาหารและเงินมาแจกจ่าย
       
       เมื่อ“เปเรซ”เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เขาต้องกู้เงินจากธนาคารโลกและไอเอ็มเอฟ จึงถูกสั่งให้ต้องแปรรูปรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่..จนตกไปเป็นของต่างชาติ ทำให้ค่าครองชีพทุกด้านแพงหูฉี่ คนจนทนไม่ไหวจนเกิดการชุมนุมประท้วง เพียง 5 วัน..ก็มีคนตายไปกว่า 2,000 คน บาดเจ็บสาหัสหลายพันคน
       
       หลัง”ฮูโก ชาเวซ” ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ในปี 1988 ชาเวซได้ยึดกิจการต่างชาติหลายประเภทเข้ารัฐ ไม่ว่าจะเป็นการโทรคมนาคมและการไฟฟ้า รวมทั้งรัฐบาลเวเนซุเอลาได้เข้าถือหุ้นใหญ่การผลิตน้ำมันโดยเฉพาะในเขต”โอริโนโก”ที่ผลิตน้ำมันดิบได้ถึง 600,000 บาร์เรลต่อวัน
       
       “ชาเวซ”จึงได้รับความนิยมจากกลุ่มคนจนมากเป็นประวัติการณ์ เพราะเงินที่ได้จากการยึดแหล่งน้ำมันกลับคืนมานั้น ชาเวซมิได้นำไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะเงินทั้งหมดถูกนำไปใช้ในการปฏิรูปสังคมเวเนซุเอลานั่นเอง
       


       ประเทศโบลิเวีย เอโบ โมราเลส เป็นประธานาธิปดี เมื่อปี ค.ศ. 2006 จากนั้นไม่กี่เดือน เขาก็ยึดกิจการน้ำมันและก๊าซของต่างชาติกลับมาเป็นของรัฐ สวนทางกับประเทศที่มุ่งโอนกิจการของชาติ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้กลุ่มทุนนิยมสามานย์ไม่กี่คน ฮุบธุรกิจเหล่านั้นด้วยคำเท่ๆว่า..โลกาภิวัตน์ 
       โมราเรส-ระบุถึงเหตุผลความยากจนของชาวโบลิเวียว่า “เป็นผลมาจากการเอาเปรียบ การฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ที่โบลิเวียมีอยู่ใต้ผืนมาตุภูมิของตนเอง ของบรรดาบริษัทต่างชาติตะวันตกที่เข้ามาในประเทศนี้”
       โมราเลสถือว่าเป็น"การปล้นสะดม"ประชาชนโบลิเวีย เขาจึงแก้ปัญหาด้วยการส่งกำลังทหาร เข้ายึดโรงกลั่น-โรงแปรรูป-หลุมขุดเจาะน้ำมัน รวมทั้งสิ้น 56 จุดทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2006 มาเป็นทรัพย์สินของรัฐและประชาชนโบลิเวีย
        โมราเรสได้เปิดการเจรจาและทำสัญญาใหม่ โดยให้บริษัทต่างชาติถือหลัก"การเคารพในเกียรติภูมิของชาวโบลิเวีย" ด้วยการจ่ายผลตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากร ให้ประชาชนเจ้าของประเทศอย่างเหมาะสมและยุติธรรม
      

       ประเทศอาร์เจนตินา ประธานาธิบดี“คริสตินา เฟอร์นันเดซ เดอ เคิร์ชเนอร์” ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2012 ได้ประกาศยึดกิจการของ YPF หรือบริษัทน้ำมันอันดับ 1 ในอาร์เจนตินาที่เป็นของสเปน ที่เข้าถือครองธุรกิจนี้ผ่านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ..กลับคืนสู่รัฐอีกครั้ง
       งานนี้..ชาวอาร์เจนตินาทั้งประเทศได้พร้อมใจกันสนับสนุน ให้รัฐบาลของตนยึดสิ่งที่ไม่ใช่แค่ธุรกิจ หากแต่เป็นการยึด“ความมั่นคงของชาติอาร์เจนตินา”กลับคืนมานั่นเอง
       
       แม้จะถูกค้านอย่างหนัก แต่รัฐบาลอาร์เจนตินายังคงยืนยันความชอบธรรม โดยชี้ให้เห็นว่า
       YPF ได้ผลิตน้ำมันลดลง จนปี 2011 รัฐบาลอาเจนตินาต้องสั่งนำเข้า น้ำมันและก๊าซฯเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อให้เพียงพอกับการใช้ในประเทศ และคาดว่าต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่าตัวภายในปลายปีนี้อีกด้วย
       การต้องนำเข้าพลังงานจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ตัวเลขการค้าของอาร์เจนตินา เกินดุลลดลงถึง 11% เมื่อปีที่แล้วอีกด้วย เพราะน้ำมันและก๊าซฯถือเป็นสินค้าหลัก ที่สร้างรายได้เพียงหนึ่งเดียวของประเทศ นับตั้งแต่อาร์เจนตินาตกอยู่ในสภาวะล้มละลาย จากการผิดนัดชำระหนี้..เมื่อปี 2001
       


       เหลือเชื่อ..เจ้าของแหล่งน้ำมันส่งออกอันดับ 27 ของโลก แต่ประชาชนกลับขาดแคลนน้ำมันใช้กันอย่างเพียงพอ ทั้งยังต้องซื้อน้ำมันราคาแพงจากต่างประเทศมาใช้..เฮ้อ..เหมือนเมืองไทยเลยเนอะ
         ชั่วช้าสามานย์แบบนี้แหละ..ที่ทำให้ผู้นำอาเจนตินา จำต้องยึดกิจการคืนจากมหาเศรษฐีน้ำมันตะวันตก ที่โลภมากชนิดไม่รู้จักคำว่าพอ..กลับคืนสู่รัฐ!
       รายงานจากบริษัทที่ปรึกษาความมั่นคงทางพลังงาน “พีเอฟซี เอ็นเนอจี”พบว่า ในบรรดาประเทศที่มีน้ำมันและก๊าซฯทั่วโลกนั้น มีเพียง 7% เท่านั้น ที่ยอมปล่อยให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนได้อย่างเสรี
        ขณะที่กิจการน้ำมันทั่วโลกถึง 65% ล้วนอยู่ในรูปแบบบริษัทหรือกิจการของรัฐทั้งสิ้น โดยแทบจะไม่มีการปล่อยให้ต่างชาติ เข้ามาลงทุนในทรัพยากรพลังงานธรรมชาติ และยังมีแนวโน้มที่อีกหลายประเทศ อาทิ เม็กซิโก อิหร่าน อิรัก คูเวต และรัสเซีย จะจำกัดการลงทุนของต่างชาติอีกด้วย
        เห็นไหมว่า..หากชาติใดในโลก โชคดีมีทรัพยากรน้ำมันและก๊าซ ทุกชาติจะหวงแหนและจะใช้มันอย่างคุ้มค่า จะไม่ยอมให้ต่างชาติมาเอาเปรียบ จะไม่ยอมให้คนในชาติเดือดร้อน เพราะน้ำมันและก๊าซ เป็นต้นทุนสำคัญ ทั้งการขนส่ง-การคมนาคม-การไฟฟ้า-การผลิตอีกสารพัด ฯลฯ
       


        น้ำมันและก๊าซ จึงเป็นทรัพยากรสำคัญยิ่ง ที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงและไม่มั่นคงของทุกชาติ! 
         สำหรับชาติไทย..ที่นักการเมืองชั่วโดยส่วนใหญ่ อีกทั้งผู้นำชาติก็ไร้สมอง และไม่รักชาติและประชาชนคนไทยด้วยใจจริง ร่วมกับอดีตผู้นำชาติขี้โกงและหนีคุกคนหนึ่ง ที่แอบมีผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมันและก๊าซ ได้กระทำตน“เป็นไส้ศึก”ให้บริษัทน้ำมันต่างชาติ จับมือกับบริษัทน้ำมันปตท.ของไทย ที่เกิดขึ้นจากเงินภาษีของคนไทยทั้งชาติ ทำการ“ปล้นเงิน”คนไทยทั้งชาติอย่างเลือดเย็นมานานแล้ว
       
        แหม..เลยเข้าสูตร“ปตท.ทรราชน้ำมัน”บน“น้ำตาคนไทย” ซึ่งต้องอ่านในตอนต่อไปครับ! 



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 18 พฤษภาคม 2555 18:43 น.
ภาพประกอบจาก  Internet



ไร้ความรู้สึก สิ้นคิด ก็รอวันสิ้นชาติ


โสภณ องค์การณ์
 ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
       
        “อย่ารู้สึกไปเอง คิดเอาเอง” เป็นวจียอดฮิตของเสนาบดีใช้เป็นข้อแก้ตัวเมื่อเผชิญสถานการณ์ย่ำแย่ ปัญหาแก้ไม่ตก และสิ้นท่าในการสรรหาคำอธิบายให้ดูว่ายังมีสติปัญญาหลงเหลือติดกะโหลก ในกิจกรรมสุมหัวโกยผลประโยชน์จากการเมือง
         ชาวบ้านได้ยินรัฐมนตรี เสนาบดีกากๆ ขี้ครอก ตีฝีปากโชว์ลูกเล่นเมื่อตอบคำถามผู้สื่อข่าวหลังจากเกิดเหตุฉาวโฉ่ ฟ้องให้เห็นชัดว่าคนในรัฐบาลแม่นางโพยปูโพรกเน่าในนั้นคิดเองไม่เป็น ภายไต้สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” 
           พวกเสนาบดีกากเดนสังคมจะทำอะไรทุกครั้ง ต้องรอฟังคำสั่ง “ทักษิณ” คนหนีคุก หนีหมายจับในคดีก่อการร้าย เป็นตัวปัญหาให้คนไทยต้องจมอยู่ในสารพัดทุกเข็ญ เลือดตาแทบกระเด็น อนาคตมืดมน บ้านเมืองรอวันล่มจม
        เมื่อตัวเองต้องฟัง “ทักษิณ” โดยตลอด คิดเอง รู้สึกเองไม่เป็น ตายด้าน ก็เลยทึกทักว่าคนอื่นไม่ควรรู้สึก หรือคิดเอาเอง ไร้อิสระทางความคิด
          หลายคนเป็นรัฐมนตรีหลังจากเริ่มต้นทำงานรับราชการมายาวนานจนเกษียณอายุ อยู่ในเบ้าหลอมของประเพณี รูปแบบการทำงานภายไต้กฎ ระเบียบราชการ ห้ามเถียง ห้ามอวดรู้ เก่งกว่าเจ้านาย ต้องยืนกุมเป้ารับคำสั่งอย่างเดียว
         ซีกสมองส่วนที่ทำงานได้เก่ง คือการจ้องหาช่องทางก้าวหน้าในอาชีพ เลียแข้งเลียขาเจ้านาย เลื่อยขาเก้าอี้เพื่อนร่วมงาน ตีกันคนอื่น ซ่อนดาบไว้ในรอยยิ้ม ต้องมีคุณสมบัติลิ้นกระดาษทราย น้ำลายชะแล็ก ตามด้วยลงแวกซ์ขนหายเกลี้ยง
          เมื่อไต่ตำแหน่งตามลำดับ จากการซื้อ การเลีย ผลสำเร็จสูงสุดคือการนั่งบนเก้าอี้มีช่องทางโกงกินให้ตัวเองและส่งต่อให้เจ้านาย เป็นระบบกังฉินบูรณาการ ทำครบวงจร! หลักฐานชัดเจนคือแก๊งโจรเข้าปล้นบ้านปลัด ได้หลายร้อยล้าน
         เงินมัดรวมกันใส่ถุงซุกในตู้เสื้อผ้า รองานก่อสร้างห้องไต้ดินให้เสร็จ!
         ตำรวจติดตามจับตัวผู้ร้ายมาได้เกือบครบ เงินก้อนใหญ่ยังล่องหน เรื่องก็เงียบหาย มีเพียงเสียงซุบซิบกันว่าทุกฝ่ายเกี้ยเซียะ ซูเอี๋ย แบ่งปันกันลงตัวแล้ว ปล่อยเรื่องเงียบสักระยะ ชาวบ้านลืม แล้วหาทางเป่าคดี บรรเทาเหตุให้เบาบาง
        ด้วยเหตุนี้ พวกเสนาบดีขี้ข้า คิดเองไม่เป็นจึงไม่อยากให้ชาวบ้านซักไซ้ ไต่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมือง ถ้าโดนจี้หนักๆ ไม่รู้จะเลี่ยงตอบอย่างไร ก็ใช้ไม้ตายเดิม คือความหน้าด้าน จัดกิจกรรมฉาว เบี่ยงเบนความสนใจขอวชาวบ้าน
          ยิ่งมีสื่อกำมะลอ ตีกิน รับจ้างนักการเมืองช่วยประโคมเรื่องอื่นๆ ด้วยแล้ว ทำให้กลบความฉาวเร็ว ใครคิดรื้อฟื้นมาไล่บี้ให้ตอบ จะยากในการปลุกกระแส! ตัวอย่างเรื่อง ว.5 โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ นั่นไง ทุกวันนี้ยังไม่มีใครให้ความกระจ่าง
             เมื่อเป็นความเงียบ หลังจากใช้ลูกเล่น แถ แหล ดื้อด้านแบบหน้าใส ชาวบ้านยิ่งมีเหตุผลสรุป เชื่อได้เลยว่าข้อสงสัย คำร่ำลือถึงพฤติกรรมอย่างที่ว่านั้น “เป็นเรื่องจริงแน่นอน” เจ้าตัวไม่ทุกข์ร้อน ยังลอยหน้าลอยตายิ้มสู้โลกเบี้ยวต่อไป


       
        “รู้ก็รู้ไปซิ รู้แล้วทำอะไรชั้นได้” “ช่างมัน ชั้นไม่แคร์” จะด้านซะอย่าง ว่างั้นเถอะ! แต่เสนาบดีลิ้นทองสมองฝ่อจะไม่ให้ชาวบ้านรู้สึกเอง คิดเอง เมื่อทนกับวิกฤติของแต่ละคนนั้น ทุเรศเกินไป! ใครทำได้ต้องเป็นทาสไม่ยอมถูกปลดปล่อย
            เมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช เสนาบดีคิดเอง ทำเองไม่ได้ รอคำสั่งจากคนหนีคุก เร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ ไม่รับรู้สภาวะแท้จริง ก็เหมือนเรือไร้กัปตัน
           ชะตากรรมของประเทศจึงถูกกำหนดโดยผู้ร้าย อาชญากรหนีคุก หนีหมายจับผู้ก่อการร้าย! ไม่ต่างจากพวกอาชญากร เจ้าพ่อในคุก สั่งงานฆ่าคน ซื้อขายยาเสพติด มีเครือข่ายสมุนลิ่วล้อจงรักภักดีเป็นทาสเงินอย่างเป็นระบบ
            การบริหารบ้านเมืองปัจจุบันจึงเหมือนอาชญากรสั่งงานผ่านตัวแทนโคลนนิ่งให้ทำทุกอย่างตามลำดับ เป็นหุ่นยนต์ควบคุมโดยระบบรีโมท และหุ่นยนต์สั่งงานให้บรรดาทาสปฏิบัติงานให้สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง ตีกินไปแต่ละวัน
       


        เราต้องทนเห็นเสนาบดียกระดับจากไพร่ขี้ครอกเป็นอำมาตย์ขาดสติปํญญา แสดงความขี้เท่อ เป็นจำอวดไร้ราคายิ่งกว่าตลกซกมก ทำตัวเป็นรัฐมนตรีระดับสวนผัก ขับแท็กซี่! เล่นลิ้น นึกว่าคนเสียภาษีกินหญ้าแทนข้าว
        คนดีไร้ที่พึ่ง เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายถูกมองว่าตั้งหน้าตั้งตารับใช้โจรอย่างไร้ศักดิ์ศรี ยางอาย ตากหน้ากินเงินเดือน ขาดจิตสำนึกของความเป็นคน! นี่ไม่ใช่เพียงยุคผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน แต่รัฐไทยถูกลดระดับเป็นรัฐไต้อำนาจโจร
        มีชนเผ่าเสื้อแดงเป็นกลุ่มอิทธิพล ใหญ่กร่างคับเมือง เจ้าหน้าที่ยอมซูฮก สยบ ไม่กล้าดำเนินคดี เมื่อเห็นป้าย ธงแดง ประกาศศักดา ทำตัวเหนือกฎหมาย
        คน 15 ล้านอาจทนได้ เพราะเลือกเครือข่ายอาชญากรมาแล้ว ชอบหรือไม่ชอบต้องกล้ำกลืนฝืนทน จะยอมรับว่าเป็นเหยื่อของนักต้มตุ๋น ผีบุญการเมือง ก็กลัวโดนเยาะว่าโง่ดักดาน เห็นแก่เงินเล็กน้อย แลกกับใบอนุญาตขายชาติ
       
        ว่าแต่คนที่เหลือ 50 ล้าน คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร กับสภาพการณ์เช่นนี้!
       


        จะรับ อดทนกับสภาวะเช่นนี้ได้อีกนานเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าบ้านเมืองเสี่ยงต่อการหายนะจากวิกฤติสารพัด รุมเร้าเป็นไฟสุมขอน รากฐานแผ่นดินเสื่อมทรุด
        มีกลุ่มต่างๆ เดินหน้าทำกิจกรรมเปิดหู เปิดตา ให้ความรู้ ข้อมูลประชาชน โดยหวังว่าเวลาที่ผ่านไป ความล้มเหลวในผลงานของเครือข่ายสมุนการเมืองของอาชญากรเร่ร่อนหนีคุก จะทำให้พวกงมงายหายหน้ามืดตามัว ปลดแอกจากหลัง
       เรารอดพ้นจากศึกสงคราม การล่าอาณานิคม จะมาล่มจมด้วยน้ำมือคนหนีคุก ยอมให้แผ่นดินไทยถูกแปรสภาพเป็นรัฐโจรปล้นทรัพยากรจนสิ้นชาติเช่นนั้นหรือ? หรือคนไทยสิ้นความรู้สึก คิดเองไม่ได้ ไร้สติปัญญา ความกล้าหาญ? 


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 18 พฤษภาคม 2555 19:09 น.
ภาพประกอบจาก  Internet


วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แผนทักษิณสุมไฟกองใหญ่ใกล้เป็นจริง



   ไม่รู้ใครมีความรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า เวลานี้ผมรู้สึกว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแทบจะทั่วหัวระแหง กำลังถูกทำให้เดินไปตามความต้องการของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่อยากจะเห็นการสุมไฟกองใหญ่เผาผลาญบ้านเมือง เพื่อนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงตามที่ตัวเองต้องการใกล้เป็นจริงเข้าไปทุกที
       แค่ห้วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญ อันเป็นเหมือนการจุดไฟสุมไปในหลายๆ พื้นที่ของระบอบทักษิณ ซึ่งก็ล้วนมีเป้าหมายต้องการให้ลุกโชนสังคมไทยอย่างที่ว่านั่นแหละ แต่เผอิญว่ายังเป็นไฟกองที่ไม่ใหญ่เท่านั้น


       วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. พร้อมด้วย ไสว ณ พัทลุง ผู้บริหารเครือพิงค์เลดี้ นำคณะเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอย่างเอิกเกริกที่ถิ่นเกิดป๋า-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่เพียงชั่วข้ามคืนศาลาที่ใช้ทำพิธีที่ตั้งอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 18/4 ม.2 บ้านแคเหนือ ต.แค อ.จะนะ จ.สงขลา ก็กลับถูกเผาวอดไปทั้งหลัง
       ก่อนหน้าวันที่ 13 พ.ค. ธิดา ถาวรเศรษฐ จตุพร พรหมพันธุ์ เหวง โตจิราการ ก่อแก้ว พิกุลทอง มีแผนจัดเวทีปราศรัยและเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่ ต.สาคู อ.ถลาง จ.ภูเก็ต แต่กลับถูกประชาชนในพื้นที่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน เริ่มเคลื่อนไหวกันตั้งแต่ก่อนวันจัดงาน และเฝ้าระวังต่อเนื่องถึง 3 วัน จนในที่สุดกิจกรรมเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงก็ล้มไม่เป็นท่า
     
  
       ระหว่างที่ชาวภูเก็ตกำลังฮือต้านเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง ค่ำคืนวันที่ 12 พ.ค. ตั๊ก-บงกช คงมาลัย หลังถูกป่วนถึงกองถ่ายล่ม ขณะขับรถเก๋งส่วนตัวหนีก็ถูกแก๊งเสื้อแดงขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ล่าบนท้องถนนที่พัทยา จ.ชลบุรี ด้วยไม่พอใจที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นที่คนเสื้อแดงหยิบเอาการเสียชีวิตของอากง-อำพล ตั้งนพกุล ไปผูกกับ ม. 112 และตีกระทบไปถึงสถาบัน แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดเหตุเลือดตกยางออกอย่างที่มีคนอยากให้เป็น
       กว่าสัปดาห์มาแล้วที่ศพของอากงถูกระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นพลพรรคเสื้อแดง พลพรรคเพื่อไทย หรือเครือข่ายขบวนการล้มเจ้า หยิบเอาไปใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกระดมให้เกิดความปั่นป่วน ซึ่งหากมองอย่างพินิจพิจารณาสักหน่อยก็จะเห็นความต้องการจุดไม้ขีดก้านใหม่ๆเพื่อก่อกองไฟใหม่ๆ ให้สะบัดเปลวใส่สังคมไทยเพิ่มอีกนั่นเอง
        ความจริงแล้วตัวตนของ นช.ทักษิณ ชินวัตร พร้อมข้าทาสบริวารว่านเครือในระบอบทักษิณ ได้เพียรพยายามร่วมกันจุดไฟ แล้วก็เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้ไฟหลายๆ กองได้มารวมกันเป็นกองใหญ่ เพื่อให้เกิดการเผาผลาญบ้านเมืองครั้งใหญ่มาโดยตลอด


       
       เพียงแต่ว่าบางหนหัวไม้ขีดเกิดเปียกน้ำเสียก่อน หลายครั้งที่จุดติดก็เป็นไฟกองไม่ใหญ่ แถมยังกระจายไปถ้วนทั่ว มีบ้างที่ดูเหมือนจะเอาฟื้นที่กำลังโชนเปลวจากหลายๆ กองมารวมกันได้ แต่ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองก็ดลบันดาลให้ประเทศไทยรอดพ้นไปได้เสียทุกครั้ง
       จนหลายคนปรามาสว่า “จุดไม่ติด” ซึ่งก็มีนัยไปทำนองว่า ไม่มีวันหรอกที่ทักษิณจะทำให้เกิดไฟกองใหญ่เผาผลาญสังคมไทย แล้วทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทิศที่ต้องการ
       
       ทว่า ผมกลับเห็นต่างในเรื่องนี้
       
       กรณีตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงที่เลือกลงไปปักหมุดที่ภาคใต้ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่อิทธิพลของระบอบทักษิณ หรือกรณีให้เครือข่ายหยิบเอาศพอากงไปเป็นเครื่องมือใช้เปิดหน้าเล่นเกมเผาบ้านเผาเมืองในหลายๆ ด้าน แม้เวลานี้ดูเหมือนเปลวไฟจะซาๆ ลงไปบ้าง แต่ต้องถือว่าได้ “จุดติด” ไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
       


       เช่นเดียวกับกรณีอื่นๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผมเองก็เห็นว่าแทบทุกวิกฤตนั่นแหละที่ทักษิณเป็นผู้ก่อไฟ แล้วก็จุดติดมาตลอด แถมทุกเหตุการณ์ล้วนโยงใยมีปฏิสัมพันธ์กันไปเสียหมด จึงต่างช่วยเสริมเติมเชื้อไฟให้แก่กันและกันได้เป็นอย่างดี
       และที่สำคัญเชื้อไฟที่ถูกทิ้งให้คุกรุ่นอยู่เหล่านั้น เป็นการรอเวลาว่าเมื่อไหร่จะถูกหยิบไปรวมเป็นกองใหญ่เท่านั้น
       ตัวอย่างที่พอจะนึกได้ตอนนี้ เช่น การพยายามตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงในภาคใต้ หลายต่อหลายครั้งตั้งใจให้รุกเข้าไปในพื้นที่ไฟใต้ เหตุไม่สงบที่ชายแดนใต้ก็เป็นผลจากความอหังการที่ต้องการตั้งรัฐตำรวจ อุ้มฆ่าไฟใต้ก็ร่วมสมัยกับฆ่าตัดตอนยาเสพติด ไฟใต้ไม่เคยมอดดับเพราะเกมชิงอำนาจและผลประโยชน์ เวลานี้ดูเหมือนจะไฟเขียวให้ทหารขี่พลเรือน ขณะเดียวกันก็เล่นงานทหารเสียอ่วมจากเหตุสลายการชุมนุม 91 ศพในกรุงเทพฯ แม้กรณีภาพหลุดทหารลงแขกผู้หญิงในค่ายฝึกที่กำลังว่อนอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ สร้างความเสื่อเสียให้แก่กองทัพจนระดับบิ๊กๆ ชักแถวออกมาเต้นแก้ข่าวกันเป็นว่าเล่น ผมเองก็เชื่อว่าน่าจะมีเหตุมาจากต้นตอเดียวกัน
       เรื่องอากงตายในคุกแล้วบานปลายขยายวงก็ไม่ใช่อยู่ดีๆ เกิดขึ้นเองเสียเมื่อไหร่ แต่ถูกวางไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โยงใยกับการเคลื่อนไหวของบรรดาไพร่ที่ต้องการล้มอำมาตย์ แก๊งทำลายป๋าเปรม ขบวนการล้มเจ้า การกล่าวหาว่าสถาบันอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร สาวได้ไปถึงปฏิญญาฟินแลนด์ มองเห็นไปถึงการแอบอิงอาศัยใช้กันและกันเป็นเครื่องมือของพวกซ้ายตกยุค กับกลุ่มก๊วนนักการเมืองน้ำเน่าตกสมัย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีกลุ่มทุนสามานย์แอบแฝงอยู่ในฉากหลัง
    
   
       ผมจึงไม่แปลกใจอะไรที่ท่ามกลางการจุดไฟเผาประเทศหย่อมแล้วหย่อมเล่า แต่ทั้งทักษิณและเครือข่ายก็ยังมุ่งมั่นแล่เนื้อเถือหนังสังคมไทย ตั้งหน้าตั้งตากอบโกยผลประโยชน์จากประเทศชาติและประชาชนไปให้ได้มากที่สุด เพราะนั่นนอกจากจะเพื่อสะสมความมั่งคั่งแล้ว ยังได้ใช้ส่วนหนึ่งไปในการอำนวยความสะดวกต่อการก่อไฟเผาบ้านเมืองด้วย
       อย่างที่บอกครับ เวลานี้ทักษิณเร่งก่อไฟและจุดติดมาโดยตลอด รอแต่เพียงว่าเชื้อไฟแต่ละกองจะมีเงื่อนไขอะไรให้ได้ไปรวมกัน หรืออาจจะมีการจุดไฟกองใหม่ขึ้นมา เพื่อดูดดึงเอาทุกเชื้อไฟและเปลวเพลิงที่ระอุคุกรุ่นกระจัดกระจายให้ไปรวมกัน ซึ่งก็จะกลายเป็นไฟกองใหญ่ได้ในที่สุด


       เวลานี้ผมเห็นว่าน่าจะมีอย่างน้อย 3 เงื่อนไขที่ทำให้ทักษิณติดไฟกองใหญ่เผาผลาญประเทศได้บรรลุผล 1. การที่ไทยจะต้องเสียดินแดนให้กับเขมรจากคำสั่งศาลโลก ซึ่งไม่ใช่แค่บริเวณเขาพระวิหาร แต่รวมตลอดเขตแนวติดต่อกันบนบกและกินพื้นที่ลงทะเลอ่าวไทย ทำให้ไทยเราต้องสูญเสียทรัพยากรจำนวนมาก 2. น่าจะไม่นานแล้วที่คนไทยไม่ทนให้ ปตท.ขูดรีดเอาประโยชน์จากพลังงานของชาติ และ 3. การลุกฮือของพลังแห่งศีลธรรมขึ้นต่อกรกับเหล่าคนชั่วช้าสามานย์ที่ครอบงำสังคมไทยมายาวนาน
       


       มาถึงตรงนี้ ผมอยากจะเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรฯ ไปร่วมคอนเสิร์ต “เมืองไทยรายสัปดาห์ภาคพิเศษ” ที่มีไฮไลต์อยู่ที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เดี่ยวไมโครโฟนในหัวข้อ “ปฏิรูปประเทศไทย เปิดโปงการเมืองน้ำเน่า ฉีกหน้ากากขบวนการตีกิน” วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2555 ณ สวนลุมพินี กรุงเทพฯ กันให้มากๆ นะครับ...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 16 พฤษภาคม 2555 16:07 น.
โดย ปิยะโชติ อินทรนิวาส
ภาพประกอบจาก Internet


เจ๊ง ทั้งแผ่นดิน บทเรียนประชานิยมจากกรีซถึงไทย ตอนที่ 1




โดย : ชวินทร์ ลีนะบรรจง ,สุวินัย ภรณวลัย
       
       นโยบายประชานิยมทำให้ราคาค่าจ้างไม่เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจคือจุดวิกฤต
       ข้อสงสัยว่าไทยจะเป็นเหมือนประเทศที่ใช้นโยบายประชานิยมแล้วย่อยยับในภายหลังเหมือนที่อาร์เจนตินาในอดีตเคยประสบพบมาหรือตัวอย่างของกรีซในปัจจุบันดูจะเป็นจริงมากขึ้นเป็นลำดับ อันเนื่องจากมีพื้นฐานด้านนโยบายประชานิยมเช่นเดียวกัน
       บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจของกรีซที่ปะทุขึ้นอีกครั้งและในคราวนี้ได้ส่งผลไปในอีกหลายๆ ประเทศไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส หรือสเปน ก็คือ การเสพติดนโยบายประชานิยม ดังจะเห็นได้จากพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลของประเทศที่ประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเหล่านี้ต่างต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งด้วยต้องดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดไม่สามารถดำเนินนโยบายประชานิยมต่อไปได้อีกอันเนื่องมาจากเศรษฐกิจตนเองบอบช้ำจากการดำเนินนโยบายประชานิยม
       


       นโยบายประชานิยมจึงเป็นดั่ง “ยาเสพติด” ที่เมื่อใครได้ลองเสพแล้วเลิกยาก สบายในขณะที่ “เสพ” แต่จะลำบากในอนาคต ดังนั้นใครก็ตามที่พยายามเลิกนโยบายประชานิยมก็จะไม่ได้รับความนิยม ในขณะที่พรรคการเมืองก็จะอาศัยประเด็นการไม่เลิกโครงการประชานิยมมาเป็นจุดขายในการหาเสียงมอมเมาประชาชนต่อไป
       ยาเสพติดกับนโยบายประชานิยมจึงคล้ายคลึงกัน ทำให้ประชาชนผู้เสพนโยบายไม่สนใจโลกของความเป็นจริง “หลอก” ตนเองและคนอื่นได้ด้วยฤทธิ์ของนโยบาย หากใครจะมาเลิกก็จะต่อต้านโดยไม่รับฟังเหตุผลข้อเท็จจริง ร่ำร้องเรียกหาแต่ผู้ที่จะเสนอนโยบายประชานิยม แม้พ่อแม่หรือผู้หวังดีก็ทำร้ายได้เพราะอยาก “เสพ” เช่นเดียวกับยาเสพติด
       ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาของกรีซหรือฝรั่งเศสเป็นข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ดีที่สนับสนุนให้เห็นว่าพรรคการเมืองที่เสนอแนวนโยบายให้คงไว้ซึ่งนโยบายประชานิยมหรืออีกนัยหนึ่งคือต่อต้านการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจที่ประสบอยู่ด้วยการรัดเข็มขัดการใช้จ่ายในภาครัฐของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และกลุ่มอียู (EU) ที่เรียกว่า ทรอยก้า กลับได้ ส.ส.เข้ามาเป็นอันดับสอง ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลรวมไปถึงท่าทีต่อไปของกรีซที่จะรักษาสัญญาที่ได้ทำไว้กับทรอยก้ามีปัญหา
       
       กล่าวอีกครั้งในข้อเท็จจริงอย่างง่ายๆ ว่า วิกฤตของกรีซในขณะนี้เกิดจากพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลของกรีซใช้จ่ายเงินเพื่อหวังให้มีการเจริญเติบโตด้วยนโยบายประชานิยม ผลก็คือการเจริญเติบโตมันเกิดน้อยแต่หนี้สินในภาครัฐจากการใช้จ่ายมันเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะหนึ่งในคุณลักษณะของนโยบายประชานิยมที่สำคัญคือไม่อาศัยการเก็บภาษีเพื่อเป็นที่มาของการใช้จ่าย (ดู จากกรีซถึงไทย ปลายทางที่นรก? ผู้จัดการายวัน 28 ก.พ.55)
       ประเทศไทยจะแตกต่างตรงที่ใด? เพราะใช้นโยบายขาดดุลงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมาโดยตลอดโดยไม่มีการเพิ่มการเก็บภาษีแต่อย่างใดทั้งชนิดและอัตราภาษีเพื่อมาเป็นแหล่งรายได้ จะมีประเทศใดบ้างที่สามารถขาดดุลงบประมาณคือมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ไปได้ตลอดเวลา? 
       เมื่อความจริงปรากฏในเวลาต่อมาว่า เงินที่นำไปใช้ไม่สามารถก่อให้เกิดรายได้พอเพียงกับรายจ่ายเพื่อชำระหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก หลายประเทศที่มีระดับหนี้สาธารณะสูงกว่าแต่ไม่เกิดวิกฤตเช่นกรีซก็เพราะเจ้าหนี้ประเมินแล้วว่ามีความสามารถหารายได้ในอนาคตมาชำระหนี้ได้ ระดับหนี้สาธารณะแต่เพียงลำพังจึงไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงวิกฤตเศรษฐกิจที่ดีตามที่หลายฝ่ายพยายามอ้างถึงตัวเลขนี้แต่อย่างใด
   
           แต่ในกรณีของกรีซนอกจากความสามารถในการชำระหนี้มีน้อยเพราะความสามารถในการแข่งขันต่ำ เช่น ส่งออกได้เพียงร้อยละ 14 ของ GDP แถมยังมีโรคแทรกซ้อนคือการ “โกหก” จำนวนหนี้ให้ต่ำกว่าความเป็นจริงปรากฏออกมา ผู้ที่เกี่ยวข้องจึงตะลึงเมื่อพบว่าหนี้สาธารณะที่รายงานร้อยละ 6 ของ GDPนั้นต่ำกว่าความเป็นจริงถึง 2 เท่า (ร้อยละ 12) ไม่ต่างจากที่ “โกร่ง” หรือใครอีกหลายคนพยายาม “หลอก” ประชาชนคิดไปเองว่าการโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยชำระหนี้แทนจะทำให้หนี้สาธารณะลดแต่อย่างใด
       ประเด็นสำคัญประการหนึ่งของการปรับโครงสร้างหนี้ก็คือ เจ้าหนี้ของกรีซนั้นส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ เหตุก็เพราะรัฐบาลกรีซอาศัยการเข้ารวมกลุ่มทางการเงินใช้เงินสกุลยูโร ใช้เครดิตของชาติที่มีเศรษฐกิจแข็งแรงที่ใช้เงินสกุลเดียวกันกับของตนในการกู้ยืมเงิน มันอาจง่ายและถูกในตอนแรกแต่ก็เป็นอุปสรรคที่แสนสาหัสในภายหลัง เหตุเพราะนักการเมืองไม่ว่าชาติใดส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าเศรษฐกิจมหภาคสำคัญต่อการบริหารบ้านเมืองอย่างไร
       เมื่อใช้เงินสกุลร่วมเช่นยูโร นโยบายการเงินการคลังก็ไม่สามารถกำหนดได้เองอย่างอิสระ ตามอำเภอใจ จะบอกว่า EU หรือ IMF ไม่ใช่ “พ่อ” ก็บอกไม่ได้เพราะเป็นผู้ให้เงินยืมและค้ำประกันหนี้ให้จึงเป็นยิ่งกว่า “พ่อ” เสียอีก

      
       ประเทศไทยแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี พ.ศ. 2540 อันเนื่องมาจากการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินสำเร็จได้ด้วยการปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนจากแบบคงที่เป็นลอยตัว ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเพิ่มขึ้นจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ลดการนำเข้าลง
       แต่วิกฤตเศรษฐกิจของกรีซ ณ ปัจจุบัน ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะไปใช้สกุลเงินร่วมกับชาวบ้านที่กำหนดค่าระหว่างสมาชิกไว้คงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ กลไกการแก้ไขจึงต้องทำที่การลดราคา (โดยรวม) ด้วยการลดค่าจ้างที่เพิ่มสูงเกินกว่าขีดความสามารถของแรงงานที่มีอยู่จากนโยบายประชานิยมที่ฝ่ายการเมืองได้กระทำแทรกแซงกลไกตลาดมาโดยตลอดและ/หรือลดคน 
       พูดง่ายๆ ก็คือแรงงานกรีซได้ค่าจ้างเพิ่มเกินกว่าประสิทธิภาพของแรงงานเช่นเดียวกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานไทยในปัจจุบันทั้งๆ ที่แรงงานยังคงทำงานได้ผลผลิตเท่าเดิมอยู่แต่ได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้นจาก 200 บาทต้นๆเป็น 300 บาทต่อวัน หรือปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน หรือนโยบายสองสูง(สินค้าเกษตรราคาสูงและราคาค่าจ้างสูง) นโยบายเหล่านี้ดูดีในแง่ประชานิยมแต่เป็นการทำลายขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศทำให้สินค้าบริการไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้เพราะไม่มีนโยบายเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานทำควบคู่ไปด้วยกัน 
     
  
       แม้ว่าค่าจ้างอาจเป็นเพียงบางส่วนของต้นทุนทั้งหมด แต่เงินเฟ้อในขณะนี้นอกจากการเพิ่มปริมาณเงินด้วยการ “เพิ่มเงินในกระเป๋า” แล้วก็มีที่มาอีกส่วนจากการชี้นำราคาจากการขึ้นค่าจ้างอันเป็นผลจากนโยบายประชานิยมอย่างปฏิเสธไม่ได้ นาง “แพง” ที่อดีตเคยชื่อนาง “ปู” อย่า “หลอก” ตนเองและผู้อื่นหรือตะแบงกันต่อไปอีกเลยว่าเงินไม่เฟ้อของไม่แพง
       องค์ความรู้ในเรื่องอุปทานรวมและค่าจ้างทางเศรษฐศาสตร์มหภาคนั้นเป็นที่รับรู้โดยชัดแจ้งตั้งแต่สมัยเคนส์ (John M. Keynes) แล้วว่า ค่าจ้างนั้นเพิ่มง่ายแต่ลดยาก ดังนั้น ปัญหาที่แสนสาหัสในขณะนี้ของกรีซก็คือ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศตนเองผลิตสินค้าบริการให้ไม่แพงกว่าประเทศอื่นๆ เอาเฉพาะกับประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรก็พอไม่ว่าจะโดย (ก) การเพิ่มผลผลิต หรือ (ข) ลดต้นทุนโดยการลดค่าจ้างและ/หรือลดคน 
     
  
       แต่จะทำอย่างไรในเมื่อราคาค่าจ้าง (ข) นั้นไม่ได้เป็นไปตามกลไกเศรษฐกิจเสียแล้ว หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายประชานิยมที่ฝ่ายการเมืองเข้าไปแทรกแซงบิดเบือนเช่นเดียวกับราคาสินค้าอื่นๆ อีกหลายรายการ แถมรัฐจะเข้ามาบรรเทาเยียวยาผ่อนหนักเป็นเบาก็ทำไม่ได้เพราะต้องรัดเข็มขัดจากการใช้จ่ายเงินเกินตัวจะเอาเงินที่ไหนมาช่วยเหลือ ส่วน (ก) นั้นเป็นเรื่องในระยะยาว
       ความวุ่นวายทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมาถึงสังคมโดยรวมของกรีซจึงมีที่มาจากการเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยมเพื่อหวังผลระยะสั้นจากการเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว หาได้สนใจว่าจะเป็นการมอมเมา “หลอก” ให้ประชาชน “เสพ” ติดนโยบายจนละเลิกไม่ได้แต่อย่างใดไม่
           ปลายทางไทยจะ “เจ๊ง” ทั้งแผ่นดินเช่นเดียวกับกรีซหรือไม่? ถ้ายังเดินไปในทิศทางเดียวกันโปรดติดตาม...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 16 พฤษภาคม 2555 14:24 น.
ภาพประกอบจาก Internet





ผ่าโครงสร้างทีวีแดง พบโยงนักการเมืองยิ่งกว่า...บลู สกาย...




เจาะเบื้องหลัง ทีวีแดงดาวเทียม Asia Update พบนักการเมืองเพื่อไทย- บิ๊กรัฐมนตรี-ทายาทถือหุ้นใหญ่ช่วงก่อตั้ง ก่อนผ่องถ่ายหุ้นอุตลุตหลังนั่งเก้าอี้ใหญ่ เครือข่ายกลุ่มทุนโยง บ.เก่า “เจ๊แดง”
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจาก สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบขุมข่ายกลุ่มทุน "บลู สกาย" ทีวีกระบอกเสียงติดจรวดของคนประชาธิปัตย์ จนพบว่าตระกูลดังลงขัน ผ่าน นายเถกิง สมทรัพย์ นายวิทเยนทร์ มุตตามระ หน้าห้อง “กรณ์ จาติกวณิก” มาแล้ว ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ตรวจสอบ "เอเชีย อัพเดต" ทีวีดาวเทียมของคนเสื้อแดง พบมีความเชื่อมโยงนักการเมืองยิ่งกว่า ดังนี้..
       เอเชีย อัพเดต จดทะเบียนในชื่อ บริษัท เดโมเครซี นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด วันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ทุน 5 ล้านบาทประกอบธุรกิจ จำหน่ายอุปกรณ์และกล่องรับสัญญาณภาพ สัญญาณเสียงระบบดิจิตอล ที่ตั้งเลขที่ 2539 อาคารอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5 ถนนลาดพร้าว เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ
       ณ วันที่ 30 เม.ย.2553 นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นกรรมการถือหุ้น 15,000 หุ้น นายวิมล จันทร์จิราวุฒิกุล 15,000 หุ้น นายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ 10,000 หุ้น น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก 10,000 หุ้น รวม 50,000 หุ้นมูลค่า หุ้น ละ 100 บาท
       ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2554 นายจารุพงศ์ โอนหุ้นทั้งหมดให้นายวรุธ ทัฬหสุคนธ์ พร้อมขึ้นนั่งเป็นกรรมการ กระทั่งวันที่ 25 สิงหาคม (หลังเลือกตั้งเดือน 3 ก.ค.2554) นายวรุธ ทัฬหสุคนธ์ กรรมการบริษัท ทำหนังสือถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าเขต 2 เปลี่ยนรายชื่อผู้ถือหุ้น (ระบุว่าคัดจากสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 20 เม.ย.2554) เป็น นายวรุธ ทัฬหสุคนธ์ ถือหุ้นใหญ่ 49,998 หุ้น
                                          นางสาวจารุพรรณ กุลดิลก


       ทั้งนี้ นางสาวจารุพรรณ กุลดิลก เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย เป็นบุตรสาวของ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และเคยมีตำแหน่งรองคณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ขณะที่นายจารุวงศ์ เรืองสุวรรณ เป็นบุตรชายนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
       จากการตรวจสอบพบว่า นายวรุธ ทัฬหสุคนธ์ นอกจากเป็นกรรมการบริษัท เดโมเครซี นิวส์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ยังเป็นกรรมการ บริษัท ดี สเตชั่น จำกัด บริษัท มีเดียคาสท์ จำกัด และ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดแคสติ้ง แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด
                                         พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก 


       บริษัท มีเดียคาสท์ จำกัด ประกอบกิจการ คือ ให้บริการ จัดการ จัดหา ให้คำปรึกษาและดำเนินการวางระบบเครือข่ายการสื่อสาร เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม เลิกกิจการวันที่ 2 ธันวาคม 2553 ส่วน บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดแคสติ้ง แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด เลิกกิจการ วันที่ 6 ธันวาคม 2550
       นายชัยธวัช เสาวพนธ์ เป็นเจ้าของ บริษัท เทคโนโลยี อินโนเวชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจ จำหน่ายเครื่องคอมพิวเตอร์และให้บริการด้านวางระบบ ที่ตั้งเลขที่ 82 ซอยสุขุมวิท 62 ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ปัจจุบันเป็นกรรมการ บริษัท วินโคสท์ อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และทายาทเป็นเจ้าของ ปัจจุบันมีนายจักร จามิกรณ์ และห้างหุ้นส่วนจำกัดสามประสิทธิ์ ของนายสมบัติ เพชรตระกูล ถือหุ้นใหญ่...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :17 พฤษภาคม 2555 04:10 น.



ม็อบกระบี่ยึดสวนปาล์มนายทุน 500 ไร่ ขาดอายุสัมปทานสำเร็จ




กระบี่ - ม็อบสวนปาล์มชุมชนคลองขนานสามัคคี กว่า 200 คน ได้เข้าตั้งเต็นท์ และปลูกสร้างเพิงพักในสวนปาล์มน้ำมันที่ขาดอายุสัมปทาน เนื้อที่กว่า 500 ไร่ในพื้นที่ ม.2 ต.คลองขนาน จ.กระบี่แล้ว หลังบุกเข้ายึดพื้นที่ได้สำเร็จ นับเป็นม็อบกลุ่มที่ 3 ที่บุกยึดสวนปาล์มในพื้นที่ตำบลคลองขนาน
       


       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ทางกลุ่มม็อบสวนปาล์มชุมชนคลองขนานสามัคคีกว่า 200 คน ได้ยิงปะทะกันกับคนดูแลสวนปาล์มของ นายสุนทร เจียวก๊ก จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย เหตุเกิดเมื่อช่วงค่ำของวันที่ผ่านมา (14 พ.ค.) ทำให้มีผู้บาดเจ็บ 1 ราย ล่าสุด อาการปลอดภัย ส่วนผู้ที่ดูแลสวนปาล์มก็ได้หนีออกจากพื้นที่ปล่อยให้ทางกลุ่มม็อบเข้ายึดพื้นที่ได้สำเร็จ ซึ่งทางกลุ่มม็อบก็ได้ทยอยนำเสบียงอาหารและน้ำดื่มเข้าในพื้นที่เนื้อที่ประมาณ 500 กว่าไร่ โดยตั้งเต็นท์และปลูกสร้างเพิงพักอาศัยกระจายอยู่ภายในสวนปาล์มแล้ว
       


       นายสมพร รักษายศ ประธานชุมชนคลองขนานสามัคคี กล่าวว่า หลังจากชาวชุมชนคลองขนานสามัคคีสามารถเข้ายึดพื้นที่ได้สำเร็จ ก็ได้เข้าตั้งเต็นท์และปลูกสร้างเพิงพักอาศัยชั่วคราวภายในสวนปาล์มน้ำมัน นอกจากนี้ ก็ได้สำรวจสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ โดยเฉพาะที่พักคนงาน ได้มีการล็อกกุญแจแน่นหนา ซึ่งทางกลุ่มจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือตัดผลปาล์มน้ำมัน และเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าดูแลความปลอดภัยประชาชนด้วย ไม่ควรปล่อยไม่มีการใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กันจนมีผู้บาดเจ็บดังกล่าว
   
    
                                          นายสมพร รักษายศ ประธานชุมชนคลองขนานสามัคคี 


       สำหรับพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันของนายสุนทร เจียวก๊ก มีเนื้อที่ ประมาณ 500 ไร่ ขาดอายุสัมปทาน ตั้งแต่ พ.ศ.2546 ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2555 ทางกลุ่มเดียวกันนี้ก็ได้พยายามเข้ายึดพื้นที่แล้วแต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากถูกคนงานเฝ้าสวนใช้อาวุธปืนยิงข่มขู่จนชาวบ้านต้องล่าถอยออกไป ซึ่งนับเป็นม็อบกลุ่มที่ 3 ที่เข้ายึดพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันในตำบลคลองขนานได้สำเร็จ...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 16 พฤษภาคม 2555 13:16 น.



วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ราคาพลังงานไทยแพงแค่ไหน คนไทยก็ยังทนได้




ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
       
       การต่อสู้ในเชิงเหตุผลในเรื่องราคาพลังงานยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความสงสัยว่าทำไมราคาพลังงานของไทยถึงได้มีหลายมาตรฐาน !!!? 
       
        ถ้าเป็นค่าภาคหลวงของพลังงานไทย ไม่ยึดตลาดโลก แต่กลับจะเป็นราคาต่ำติดดินระดับโลก
       
       แต่ถ้าเป็นราคาน้ำมันขายปลีกของไทยก็บอกว่าจะต้องยึดราคาตามกลไกตลาดโลก แต่พอมีคนจับได้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเมื่อราคาน้ำมันตลาดโลกมีราคาลดลงแต่ราคาน้ำมันไทยกลับมีราคาที่สูงขึ้น ดังกรณีความผิดปกติที่ มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ผู้เชี่ยวชาญที่ติดตามพลังงานมาอย่างใกล้ชิดได้ตั้งข้อสังเกตของราคาน้ำมัน 2 ช่วงเวลาดังนี้
       
       พ.ศ. 2551 ราคาน้ำมันดิบที่เวสต์เท็กซัส อยู่ที่ 145 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จึงสามารถคิดราคาต้นทุนน้ำมันดิบได้ที่ 30.09 บาทต่อลิตร ในปีนั้น ราคาน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ที่ 42.50 บาท
       
       เดือนมีนาคม พ.ศ.2555 ราคาน้ำมันดิบที่เวสต์เท็กซัสลดลงมาเหลืออยู่ที่ 105 เหรียญต่อบาร์เรล นอกจากนั้นในช่วงเวลานั้นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากเป็น 30.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ประมาณ 20.14 บาท แต่ราคาน้ำมันเบนซิน 91 ก็อยู่ที่ 42.58 บาท อยู่ดี
       
       ประเด็นนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยได้ว่าทำไมราคาน้ำมันของไทยจึงไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาดโลกอย่างที่กล่าวอ้างกัน?
       
        ที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้เพราะการประกาศขึ้นราคาและลดราคาน้ำมันในประเทศไทยนั้น ถ้าราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ก็จะมีการประกาศขึ้นราคาโดยทันทีและขึ้นได้มาก ในขณะที่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงก็จะลดลงอย่างช้าๆ และอัตราที่น้อยกว่า ด้วยเหตุผลว่ากลัวปั้มน้ำมันที่ขายปลีกจะขาดทุนทันทีจึงต้องลงช้าๆ
       
        พอเป็นแบบนี้หลายๆปีเข้ามันก็เลยเกิดการสะสมราคาในลักษณะ “ขึ้นเร็วทันตลาดโลก-ลงช้ากว่าตลาดโลก” ด้วยเหตุผลนี้พอเอาตัวเลขข้ามปีมาเปรียบเทียบกันจึงเกิดความไม่สอดคล้องกับราคาตลาดโลกอย่างที่เห็น
       
        ตรรกะแบบนี้ดูจะแปลกอยู่มากเพราะเวลาราคาน้ำมันจะลดลงกลับเป็นห่วงคลังน้ำมันของแต่ละปั้มว่าจะขาดทุน แต่เวลาจะขึ้นราคากลับไม่ห่วงว่าประชาชนจะต้องซื้อน้ำมันแพงกว่าคลังน้ำมันของปั้มน้ำมันที่มีอยู่เดิม!!!
       
        ความจริงข้ออ้างนี้เป็นข้ออ้างที่เอาผู้ประกอบการปั้มน้ำมันมาบังหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ถือมีคลังน้ำมันมากที่สุดก็คือบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ทั้งโรงกลั่น และกลุ่มบรรษัทที่เข้าน้ำมันดิบต่างหากที่จะได้ประโยชน์สูงสุดในการที่ทำให้ราคาน้ำมันลดลงช้ากว่าตลาดโลกและเพิ่มขึ้นเร็วทันตลาดโลกมาโดยตลอด
       
        นอกจากนี้ทุกวันนี้สิงคโปร์เป็นประเทศกำหนดราคาหน้าโรงกลั่นของไทยไปโดยปริยาย โดยข้ออ้างในเหตุผลที่ว่า:
       
        “ถ้าไทยราคาต่ำไปกว่าที่สิงคโปร์พ่อค้าคนกลางจะมาแห่ซื้อน้ำมันหมดจากโรงกลั่นไทย” นั่นหมายความว่าเรากลัวว่าจะขายได้ไม่พอกับความต้องการ เพราะกลัวคนมาซื้อจากโรงกลั่นไทยจำนวนมากแล้วไปส่งออก จึงต้องปรับราคาให้เพิ่มขึ้นตามสิงคโปร์
       
        “แต่ถ้าไทยราคาสูงไปกว่าที่สิงคโปร์ พ่อค้าคนกลางจะมาแห่ซื้อน้ำมันจากสิงคโปร์เพื่อนำเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก” ทำให้ราคาในประเทศไทยสู้ไม่ได้ จึงต้องปรับราคาให้ลดลงตามสิงคโปร์
       
        นั่นหมายความว่าไม่ว่าราคาต้นทุนโรงกลั่นของไทยจะเป็นอย่างไร ก็จะยึดถือราคาที่สิงคโปร์เป็นหลัก ไม่ว่าราคานั้นจะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม โดยไม่สนใจต้นทุนที่แท้จริง ใช่หรือไม่? 
       
        และถ้าโรงกลั่นที่สิงค์โปร์รับรู้ว่าประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ ยึดหลักที่ว่าต้องปรับราคาอ้างอิงตามสิงคโปร์ เพียงเท่านี้ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่กลไกตลาดปกติ แต่เป็นกลไกกำหนดโดยสิงคโปร์เท่านั้น ดังนั้นหากสิงคโปร์ต้องการทำกำไรอย่างมหาศาลจากการกลั่นก็จะสามารถขึ้นราคาได้ตามอำเภอใจโดยปราศจากการแข่งขัน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือประเทศไทยยอมฮั้วกับการขึ้นราคาที่สิงคโปร์ ใช่หรือไม่?
       
        ความจริงแล้วถ้าฮั้วให้เท่าราคากับสิงคโปร์ก็น่าจะสร้างความสงสัยให้กับประชาชนอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะมีข้อที่น่าสังเกตมากกว่านั้น
       
        โดยคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ได้จัดทำเอกสาร เรื่อง “พลังงานไทย…พลังงานใคร?” ได้อธิบายเรื่องดังกล่าวความตอนหนึ่งว่า:
       
        “ความมั่นคงของคนไทยมีมูลค่าปีละกว่าแสนล้านบาทที่ผู้บริโภคต้องควักกระเป๋าจ่ายให้โรงกลั่นน้ำมัน... เราต้องซื้อน้ำมันในราคาที่แพงกว่าที่คนสิงคโปร์ซื้อจากประเทศไทย สูตรราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นที่คนไทยต้องจ่ายเป็นแบบนี้
       
       ราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์ + ค่าโสหุ้ยน้ำเข้าน้ำมันจากสิงคโปร์
       = ราคาหน้าโรงกลั่นไทย
       
       ทั้งนี้ค่าโสหุ้ยดังกล่าวประกอบไปด้วย ค่าคนส่ง+ค่าสูญเสียระหว่างขนส่ง+ค่าประกันภัย+ค่าปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน
       
        สมมุติว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงคโปร์อยู่ที่ 20 บาท และค่าโสหุ้ยนำเข้าจากสิงคโปร์อยู่ที่ 2 บาท คนไทยต้องจ่ายค่าน้ำมันหน้าโรงกลั่น 22 บาท ในขณะที่คนสิงคโปร์จะซื้อน้ำมันได้ในราคา 20 บาท
       
        การที่บวกค่าโสหุ้ยเหล่านี้เข้าไปนี่แหละ ที่ทำราคาขายในประเทศต้องสูงขึ้น ทั้งๆที่กลั่นอยู่ในกรุงเทพฯ ชลบุรี ระยอง นี่เอง พูดง่ายๆก็คือเงินที่โรงกลั่นบวกเพิ่มนั้นเป็นเหมือน “เงินกินเปล่า” หรือเป็น “กำไร” ร้อยเปอร์เซ็นต์ของโรงกลั่น เนื่องจากไม่ได้มีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมาจริง
       
        โรงกลั่นอยากขายน้ำมันในประเทศมากกว่า เพราะขายได้ลิตรละ 22 บาท แต่ถ้าขายสิงคโปร์จะได้แค่ 18 บาท เพราะต้องจ่ายค่าขนส่งเองอีก 2 บาท
       
        นอกจากคนไทยต้องซื้อน้ำมันที่ราคาแพงแล้ว โรงกลั่นยังส่งออกน้ำมันไปขายต่างประเทศด้วยราคาที่ถูกกว่าที่ขายให้คนไทยเสียอีก
       
        ก็เวลาขายคนไทย ราคาน้ำมันจะเป็นราคาหน้าโรงกลั่นบวกด้วย ค่าโสหุ้ยต่างๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เมื่อโรงกลั่นไทยเหล่านี้ต้องขายน้ำมันส่งออกไปสิงคโปร์ กลับต้องหักค่าโสหุ้ยออก เพื่อให้เป็นราคาตลาดโลกที่แท้จริง จึงสามารถแข่งขันได้
       
        ดังนั้นราคาที่เขาขายคนไทยจึงเป็นราคาตลาดเทียมภายใต้การสมยอมของภาครัฐที่ยอมให้โรงกลั่นไทย บวกค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ไม่เกิดขึ้นจริงให้คนไทยต้องรับภาระไปเสียนี่
       
        เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วรัฐบาลจึงเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ “คนไทย”ต้องจ่ายแพง ทั้งๆที่ในความเป็นจริงประเทศไทยสามารถกลั่นน้ำมันได้มากกว่าความต้องการของคนไทยมากว่า 11 ปีแล้ว
       
        ก็เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับธุรกิจเอกชนมากกว่าผลประโยชน์ของคนไทยน่ะสิ โดยอ้างว่าต้องให้แรงจูงใจกับโรงกลั่นเพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ด้วยการหยิบยื่นข้อเสนอว่าเมื่อกลั่นน้ำมันในประเทศ จะสามารถขายได้ราคาเหมือนน้ำมันนำเข้าจากต่างประเทศ
       
        ถ้าเป็นตอนเริ่มต้นสร้างโรงกลั่นก็พอจะรับกันได้ แต่ตอนนี้โรงกลั่นส่งออกน้ำมันเท่ากับบางประเทศในกลุ่มโอเปก มีรายได้มากกว่าส่งออกข้าว แต่รัฐบาลยังอ้างว่าต้องให้แรงจูงใจ
       
        เพราะฉะนั้น ที่ว่าน้ำมันลอยตัวตามราคาตลาดโลก เป็นกลไกของการค้าเสรี ก็เป็นเรื่องไม่จริงใช่ไหม อย่างนี้ควรจะเรียกว่ารัฐบาลอนุญาตให้โรงกลั่นมีเสรีภาพในการผูกขาดจะดูเข้าท่ามากกว่า”
       
        ที่น่าสนใจราคาพลังงานขึ้นสูงมากขนาดนี้แล้ว คนไทยก็ยังอยู่ได้ ไม่ทุกข์ร้อนใดๆ สังคมไทยจึงต้องเผชิญสภาพข้าวยากหมากแพงอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ !!! 





ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th