This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จุดจบชีวิตการเมือง อดีตเจ้ากระทรวงรถไฟจีน

นายหลิว จื้อจวิน (ภาพเอเยนซี)

ผู้จัดการออนไลน์ - จีนมีปัญหาคอร์รัปชั่นไม่น้อย แต่ก็ยังเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่เป็นประจำ ล่าสุดคณะกรรมาธิการตรวจสอบวินัยกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีมติขับนายหลิว จื้อจวิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงรถไฟออกจากการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ พร้อมส่งฟ้องร้องคดีอาญาข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวงต่อเนื่อง
       
       สำนักข่าวซินหวารายงานข่าวนายหลิว จื้อจวิน เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า หลังจากคณะกรรมาธิการตรวจสอบวินัยฯ ทำการไต่สวนมาเป็นเวลา 15 เดือนได้ข้อสรุปว่านายหลิวได้กระทำผิดละเมิดวินัยพรรคฯ อย่างร้ายแรง และให้ถือเป็นคดีอาญา
       
       อนาคตที่ (เคย) สดใส
       
       นายหลิว เป็นผู้มีบทบาทในการพัฒนาเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง ซึ่งทำให้ทั่วโลกตะลึงกับเทคโนโลยีการคมนาคมที่พัฒนาเร็วปานฟ้าแลบของจีน เขาใช้นโยบายก้าวหน้าแบบ “กบกระโดด” จนได้รับฉายา “หลิวกระโดด” นายหลิวเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงรถไฟในปี 2539 และต่อมาขึ้นแท่นรัฐมนตรีฯ ในปี 2546
       
       อย่างไรก็ตามโครงการก่อสร้างฯ ในระหว่างที่นายหลิวดำรงตำแหน่งฯ ถูกวิจารณ์เละว่าไร้คุณภาพไม่ปลอดภัย กอปรกับมีการทุจริตมหาศาล อุบัติเหตุเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2551 รถไฟสายปักกิ่ง-ชิงเต่าชนครั้งร้ายแรงในรอบทศวรรษที่มณฑลซานตงเนื่องจากเจ้าหน้าที่ขับเร็วเกินอัตราและรถไฟบรรทุกหนักเกินมาตรฐาน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 71 ราย บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้นายหลิวเริ่มถูกตั้งคำถามเรื่องการจัดการฯ
       
       ในช่วงที่นายหลิวดำรงตำแหน่งฯ กระทรวงรถไฟมีแผนการสร้างเส้นทางเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงให้ได้ 16,000 กม.ภายในพ.ศ. 2558 มีการระดมเงินลงทุนมูลค่าหลายล้านล้านหยวน และกองทุนเหล่านี้มีการคอร์รัปชั่นกันอื้อซ่า กระทั่งสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินออกมาแฉ (มี.ค.2554) กรณีที่เงินลงทุนถูกนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสมโดยปัจเจกบุคคลหรือบริษัทมากถึง 187 ล้านหยวน ในโครงการรถไฟความเร็วสูงปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้
นางติง อี่ว์ซิน (ภาพเอเยนซี)



กระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 นายหลิวถูกตั้งคณะกรรมการฯ สอบสวนและถูกถอดถอนจากตำแหน่งรัฐมนตรี ตั้งแต่นายหลิวร่วงลงจากอำนาจ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกาะกินระบบรถไฟจีน ซึ่งฟักตัวมาตั้งแต่ช่วงที่เขาบริหารก็ได้ผุดพรายขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินมหาศาล จากการระดมทุนสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงสายใหม่ ปัญหาอุปกรณ์เสียหายและวัสดุปลอมอีกเพียบ
       
       เมื่อปีที่ผ่านมา กระทรวงรถไฟจีนเจอมรสุมลูกใหญ่จนไม่เหลือภาพลักษณ์ หลังจากเกิดเหตุรถไฟชนที่เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง สังหารผู้คนไป 40 ราย ตามรายงานของรัฐบาลจีน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ 200 คน โศกนาฏกรรมใหญ่ทั้ง 2 เหตุการณ์ดังกล่าว คณะกรรมาธิการฯ ลงความเห็นว่า ต้นเหตุสำคัญก็คือ “นายหลิว”
       
       สัมพันธ์ลับกับนางติง ร่วมฉ้อโกงอื้อ
       
       เรื่องอื้อฉาวสุด ๆ ที่สำนักข่าวซินหวานำมาเปิดโปงก็คือ นายหลิวใช้อำนาจในทางมิชอบเพื่อช่วยนักธุรกิจหญิง “นางติง อี่ว์ซิน” อย่างผิดกฎหมายให้เธอสามารถสะสมทรัพย์ได้มหาศาล
       
       นางติงวัย 57 ปี จากมณฑลซานซีผู้นี้หรือเป็นที่รู้จักในนามติง ซูเหมียว เป็นอดีตผู้อำนวยการบริหารเครือบริษัทจัดการการลงทุนปักกิ่งปั๋วโย่ว รายงานข่าวยังแฉว่า สินทรัพย์บริษัทนางติงเพิ่มสูงจาก 474 ล้านหยวนปี 2551 เป็น 4,500 ล้านหยวนในปี 2553 สื่อจีนแผ่นดินใหญ่เคยรายงานก่อนหน้านี้ว่า นางติงได้รับเงินหลายร้อยล้านหยวน หลังจากช่วยให้บริษัทรายใหม่ชนะการประมูลโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงรถไฟซึ่งมีมูลค่าสูงหลายล้านล้านหยวน
อุบัติเหตุเมื่อเดือนเม.ย. ปี 2551 รถไฟสายปักกิ่ง-ชิงเต่าชนครั้งร้ายแรงในรอบทศวรรษที่มณฑลซานตง (ภาพเฟิ่งหวง)

นางติงยังเป็นผู้จัดหาสาวรุ่นมาประเคนให้นายหลิวเป็นการตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นดาราสาวที่เล่นซีรีส์ภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่องความฝันในหอแดง ซึ่งเป็นหนังชุดที่บริษัทของนางติงลงทุนไปประมาณ 50 ล้านหยวน นอกจากนั้นเธอยังได้ซื้อบ้านราคาแพงลิบในฮ่องกงไว้ประดับบารมีด้วย ในปี 2552 บริษัทของนางติงยังได้รับสัมปทานสร้างกำแพงกันเสียงของเส้นทางรถไฟสำคัญเกือบทั้งหมด อาทิ สายอู่ฮั่น-ก่วงโจว ก่วงโจว-ฮ่องกง และเจิ้งโจว-ซีอาน
       
       ทั้งนี้คณะกรรมการตรวจสอบวินัยพรรคคอมมิวนิสต์ได้กักตัวเธอไว้ตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว (2554) เพียงไม่กี่สัปดาห์จากนั้นก็จับตัวนายหลิว รายงานข่าวไม่ได้เปิดเผยว่า นางติงมีทรัพย์สมบัติในครอบครองเท่าใด เผยเพียงว่า ความสัมพันธ์แบบปิดระหว่างนายหลิวกับนางติงนั้นนำมาสู่ความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล และส่งผลกระทบเชิงลบต่อสังคมจีน
       
       คณะกรรมาธิการตรวจสอบวินัยกลางฯ ชี้ว่านายหลิว “กระทำผิดศีลธรรม” ซึ่งคำนี้มักจะใช้เรียกสมาชิกพรรคฯ ที่เก็บซ่อนภรรยาน้อยไว้ นอกจากนั้นยังได้ประณามนายหลิวว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดคอร์รัปชั่นอื่น ๆ ตามมาอีกมหาศาลกร่อนกินกระทรวงรถไฟจนหมดความน่าเชื่อถือ
       
       สุดท้ายคณะกรรมการกรมการเมืองฯ ได้มีมติขับนายหลิว ออกจากพรรคคอมมิวนิสต์ การตัดสินใจนี้จะได้รับการยืนยันจากคณะกรรมการกลางฯ อีกครั้ง ส่วนคดีความของนายหลิวจะส่งฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป นอกจากนั้นในคดีนี้มีเจ้าหน้าที่กระทรวงรถไฟระดับสูงอีกอย่างน้อย 8 คนติดร่างแหถูกลงโทษและขับออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และอยู่ในระหว่างการไต่สวน อันได้แก่ นายจัง ซูกวง อดีตรองหัวหน้าฝ่ายวิศวกรของกระทรวงฯ นายหลัว จินเป่า อดีตประธานบริหารบริษัทไชน่า เรลเวย์ คอนเทนเนอร์ ทรานสปอร์ต โค และนายซู ซุ่นหู่ อดีตรองหัวหน้าสำนักงานโดยสารของกระทรวงรถไฟฯ นายจังเป็นสหายสนิทของนายหลิวและนายหลัว คนเหล่านี้ล้วนมีส่วนพัวพันกับคดีของนายหลิวทั้งสิ้น
ซากรถไฟความเร็วสูงจากอุบัติเหตุชนเสยท้ายที่เมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง สังหารผู้คนไป 40 ราย ตามรายงานของรัฐบาลจีน (ภาพเอเยนซี)

มุมผู้เชี่ยวชาญ
       
       ศาสตราจารย์หลิน เจ๋อ อาจารย์ประจำโรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้คณะกรรมการกลางพรรคฯ ผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านคอร์รัปชั่นเผยว่า ครั้งนี้นายหลิวต้องได้รับการลงโทษสาหัส การขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์หมายความว่า นายหลิวได้สิ้นสุดชีวิตทางการเมือง การลงโทษเจ้าหน้าที่ฯ ผิดวินัยนั้นย่อมหนักกว่าประชาชนธรรมดา อย่างไรก็ดี หลินชี้ว่า คดีนี้ยังไม่น่าจะนำขึ้นสู่ศาลในเร็ววัน เพราะเป็นคดีที่ซับซ้อนและต้องการเวลาไต่สวน หลินเพิ่มเติมว่า “ไม่ว่าเจ้าหน้าที่คนใดจะมีผลงานความสำเร็จยิ่งใหญ่ ไม่ว่าเขามีตำแหน่งสูงส่งเท่าใด จีนก็ไม่สนใจและมุ่งมั่นจัดการปัญหาคอร์รัปชั่นอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม”
       
       หลี่ เฉิงเอี๋ยน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองสะอาดแห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่งเผยว่า นายหลิวน่าจะได้รับบทลงโทษอย่างหนักหน่วง หลังจากการไต่สวนทำให้เห็นว่ารัฐบาลของเรา (จีน) ให้ความสำคัญต่อปัญหาคอร์รัปชั่น การประกาศขับนายหลิวออกจากพรรคฯ เป็นเพียงก้าวหนึ่งของการสอบสวนเท่านั้น ยังต้องรอดูโทษที่เขาจะได้รับหลังศาลตัดสินอีก...




ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รักเชียงใหม่ 51 ร้อง กกต.ยุบ ปชป. ลั่น 3 เดือนไม่คืบโดนแน่


                                                                                                             
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - รักเชียงใหม่ 51 ระดมพลบุก กกต.เชียงใหม่ยื่นเรื่องยุบ “ประชาธิปัตย์” อ้างทั้งฉุดกระชาก-ขว้างของใส่ประธานฯ ผิด กม.ชัดเจน หนำซ้ำปลุกระดมคนมาขัดขวางการประชุมเข้าข่ายกบฏ ลั่นให้เวลา 3 เดือนหาก กกต.ยังเฉยจะส่งตัวแทนเป็น สสร.แล้วเสนอยุบ กกต.แทน แถมไปชุมนุมหน้าสาขา ปชป. เรียกร้อง “มาร์ค” กราบเท้าขอขมา “ขุนค้อน” 
       
       วันนี้ (1 มิ.ย.) กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 จำนวนประมาณ 100 คน เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อยื่นหนังสือขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายกฤษณ พรมบึงรำ แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เป็นผู้มอบหนังสือแก่นายบุญรัตน์ วงศ์ใหญ่ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่
       
       การเดินทางมายื่นหนังสือต่อ กกต.ของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกลุ่มรักเชียงใหม่เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภาฯ จากกรณีความวุ่นวายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การปรองดองแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 และ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้งการพยายามฉุดกระชากประธานสภาผู้แทนราษฎรลงจากบัลลังก์ การพยายามนำเก้าอี้ของประธานสภาฯ ไปทิ้ง และการขว้างปาสิ่งของใส่ประธานสภาฯ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่แสดงถึงความไม่เคารพกฎหมาย และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมือง ประกอบรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 65 (2) และมาตรา 66
       


       ดังนั้น กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 จึงได้ตัดสินใจเดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อประธาน กกต. ผ่านทาง กกต.จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อขอให้มีการพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ตามความผิดที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยทางกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้นำหลักฐานที่มีทั้งภาพ ซีดี และข่าวจากหนังสือพิมพ์มาประกอบเป็นหลักฐานร่วมกับหนังสือดังกล่าวด้วย
       
       นายกฤษณ พรมบึงรำ แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 กล่าวว่า กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีพฤติกรรมหลายอย่างที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยและเข้าข่ายเป็นกบฏ ทั้งการคุกคามประธานรัฐสภา และความพยายามที่จะปลุกระดมมวลชนให้ออกมาชุมนุมต่อต้านการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ รวมทั้งขัดขวางการเข้าไปทำหน้าที่ของ ส.ส.ในสภาฯ ผ่านรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องบลูสกาย ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ กกต.พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์
       


       โดยทางกลุ่มจะรอติดตามการพิจารณาของ กกต.ภายในระยะเวลา 3 เดือน หากครบกำหนดดังกล่าวแล้ว นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ยังไม่ดำเนินการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ทางกลุ่มก็จะมีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการยุบ กกต.ต่อไป
       
       นายกฤษณยังระบุด้วยว่า หากภายใน 3 เดือน กกต.ยังไม่พิจารณากรณียุบพรรคประชาธิปัตย์ให้แล้วเสร็จ ตนจะเข้าไปเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญในฐานะตัวแทนของคนเสื้อแดง และจะเสนอให้มีการยุบ กตต. เนื่องจากเห็นว่าองค์กรกลางที่ไม่ทำงานหรือทำงานโดยไม่คำนึงถึงพี่น้องประชาชนนั้นคงจะไม่มีความจำเป็น
       


       ด้านนายบุญรัตน์ วงศ์ใหญ่ ประธาน กกต.จังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า หลังจากรับหนังสือของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 แล้วก็จะดำเนินการตามขั้นตอน เพื่อให้ทาง กกต.กลางได้พิจารณาหลักฐานและเอกสารต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป
       


       ทั้งนี้ ก่อนเดินทางมายื่นหนังสือต่อ กกต.จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้เดินทางไปยังศูนย์ประสานงานพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อประท้วงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ก่อความวุ่นวายในการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ โดยในการชุมนุมหน้าศูนย์ประสานงานพรรคประชาธิปัตย์ จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ปราศรัยโจมตีการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยถ้อยคำรุนแรง
       


       รวมทั้งแสดงแผ่นป้ายที่มีข้อความโจมตีพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมาก พร้อมกันนี้ยังมีการเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขอขมานายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ด้วยการกราบเท้าต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแก่นายสมศักดิ์ด้วย...

ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

37 ครอบครัวไทยเศร้า เขมรห้ามทำนาแถวหลักเขต 43 อ้างอยู่ในแดนเขมร




เขมรสั่งชาวไทย 37 ครอบครัว ห้ามทำนาบนที่ดิน 1,125 ไร่ บริเวณหลักเขตที่ 43 ที่สื่อเขมรเรียกว่า “ดินแดนเขมร นาไทย” พร้อมสั่งห้ามคนเขมรรับจ้างคนไทยไถนาบริเวณนี้ เผย ผบ.กองพลน้อย 51 เขมร กับ ผบ.กองพลที่ 2 รอ.ของไทย ได้คุยกันเรียบร้อยแล้วเมื่อ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 27 พ.ค. เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ อ้างรายงานของสำนักข่าวซีอีเอ็นของกัมพูชา ระบุว่า เมื่อวันที่ 26พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการสั่งห้ามโดยเด็ดขาดไม่ให้เกษตรกรไทยและชาวเขมรที่รับจ้างเกษตรกรไทย เข้าไถนาในพื้นที่ซึ่งสื่อเขมรเรียกว่า “ดินแดนเขมร นาไทย” ติดกับหลักเขตแดนที่ 43 บ้านโอร์เบ็ยจวน 1 และบ้านเปร็ยจัน (ไพรจันทร์) 2 ต.โอร์เบ็ยจวน อ.โอร์จรึว 3 จ.บันเตียเมียนเจ็ย ตรงข้าม ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยการสั่งห้ามดังกล่าวมาจากผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารราบที่ 51 ของกัมพูชา และผู้บัญชาการกองพลที่ 2 รักษาพระองค์ กองกำลังบูรพาของไทย ในการพบหารือกันที่กองบัญชาการ ที่ อ.อรัญประเทศ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา
       เจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาประจำชายแดนรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ทหารกัมพูชาได้ห้ามชาวเขมร 4 คน และรถไถนา 4 คัน ไม่ให้เข้าไปไถนาในจุดที่เรียกว่า “ดินแดนเขมร นาไทย” หรือดินแดนเขมรที่อยู่ข้างในหลักเขตที่ 43 ทางทิศเหนือของ ต.โอร์เบ็ยจวน โดยชาวเขมรเหล่านั้นได้รับจ้างเข้าไปไถนาให้เกษตรกรไทย ส่วนเกษตรกรไทยก็ไม่กล้าเข้าไถนาเองเพราะกัมพูชาได้แจ้งความประสงค์ต่อกองกำลังและเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเรียบร้อยแล้ว ทหารกัมพูชานายดังกล่าวระบุอีกว่า กัมพูชาได้ห้ามชาวไทยประมาณ 37 ครอบครัวทำนาบนที่ดิน 1,125 ไร่ ของเขมร ติดกับหลักเขตที่ 43 โดยหลักเขตและที่ตั้งทั้งสองฝ่ายได้รับทราบแล้ว ดังนั้น จึงต้องป้องกันบูรณภาพดินแดนเขมร
      หลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่บริเวณ ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว อยู่ทางทิศเหนือของหลักเขตที่ 46 ซึ่งเกิดกรณีกัมพูชาจับตัว 7 คนไทย ที่บ้านหนองจาน เมื่อเดือนธันวาคม 2553...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ: 
www.manager.co.th :27 พฤษภาคม 2555 22:34 น.





วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อิหร่านลั่น ไม่มีเหตุ ให้เลิกผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ 20%

    เฟเรย์ดูน อับบาซี ดาวานี หัวหน้าองค์การพลังงานปรมาณูอิหร่าน
เอเอฟพี - อิหร่านไม่มีเหตุผลที่จะหยุดผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ 20 เปอร์เซ็นต์ ตามที่มหาอำนาจทั้ง 5 และเยอรมนีเรียกร้อง หัวหน้าองค์การพลังงานปรมาณูอิหร่านแถลง วานนี้(26)
       
       “เราไม่มีเหตุอันใดที่จะหยุดผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะเราผลิตเฉพาะเท่าที่เราต้องการใช้ ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น” สำนักข่าวไอเอสเอ็นเอ และเมห์ร อ้างคำกล่าวของ เฟเรย์ดูน อับบาซี ดาวานี หัวน้าองค์การพลังงานปรมาณูแห่งอิหร่าน
       
       โครงการเสริมสมรรถนะและคลังแร่ยูเรเนียมของอิหร่านเป็นประเด็นสำคัญในการหารือ ระหว่างเตหะรานและมหาอำนาจทั้ง 6 ซึ่งได้แก่ อังกฤษ, จีน, ฝรั่งเศส, รัสเซีย, สหรัฐฯ และเยอรมนี เมื่อวันที่ 23-24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ณ กรุงแบกแดด
       
       การประชุมดังกล่าวเกือบจะล้มไม่เป็นท่า เมื่อมหาอำนาจ 5+1 เรียกร้องให้อิหร่านยุติการเสริมสมรรถนะและสะสมยูเรเนียม เพื่อแลกกับชิ้นส่วนเครื่องบินเอาไว้ปรับปรุงศักยภาพฝูงบินพาณิชย์ ตลอดจนความช่วยเหลือทางเทคนิคเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์
       
       เตหะรานชี้ว่า สิ่งแลกเปลี่ยนจากมหาอำนาจทั้ง 6 นั้นเล็กน้อยเกินไป และขัดต่อความปรารถนาของอิหร่านที่ต้องการให้ตะวันตกประกาศว่า อิหร่านมีสิทธิ์ที่จะเสริมสมรรถนะยูเรเนียมได้
       
       แม้จะเจอทางตันซึ่ง อับบาซี ดาวานี กล่าวว่า “คาดเดาได้อยู่แล้ว” ทว่าการเจรจาครั้งนี้ก็ยังไม่ล้มเหลวเสียทีเดียว เมื่อทุกฝ่ายเห็นชอบให้เปิดเจรจากันใหม่ที่กรุงมอสโก ระหว่างวันที่ 18-19 มิถุนายนนี้
       
       อับบาซี ดาวานีเผยด้วยว่า อิหร่านร่วมมือกับประเทศกลุ่มเล็กๆ ซึ่งจะสามารถ “ผลิตเชื้อเพลิงเพื่อตอบสนองความต้องการของกันและกันได้”
       
       “การที่ประเทศอื่นมาขอให้เราช่วยส่งออกเชื้อเพลิงให้นั้น ยังดีกว่าที่ตะวันตกมาขอให้เราหยุดผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์”
       
       ทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศระบุในรายงานล่าสุดว่า เตหะรานสามารถผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ 20 เปอร์เซ็นต์ได้แล้ว 145.6 กิโลกรัม ซึ่งราว 1 ใน 3 ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเตาปฏิกรณ์เพื่องานวิจัย นอกจากนี้ยังผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ 3.5 เปอร์เซ็นต์ได้อีกกว่า 6 ตัน โดยบางส่วนจะถูกนำไปเพิ่มความบริสุทธิ์ให้เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ต่อไปด้วย
       
       ยูเรเนียมซึ่งมีความบริสุทธิ์ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป จะใช้เพื่อจุดประสงค์ด้านการทหารหรือผลิตเป็นหัวรบนิวเคลียร์ ซึ่งการผลิตยูเรเนียม 20 เปอร์เซ็นต์ได้ก็ถือว่าเป็นขั้นที่ใกล้เคียงแล้ว
       
       อิหร่านยืนยันหนักแน่นว่า โครงการนิวเคลียร์ของตนมีจุดประสงค์เชิงสันติเท่านั้น และยังตำหนิมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันและการเงินจากฝั่งตะวันตกว่าไม่เป็นธรรมและผิดกฎหมาย พร้อมย้ำด้วยว่า บทลงโทษเหล่านั้นไม่ได้ทำให้อิหร่านสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด
       
       เตหะรานจะต้องเผชิญแรงกดดันจากภายนอกมากขึ้นไปอีก ทันทีที่มาตรการคว่ำบาตรน้ำมันของสหภาพยุโรป และการคว่ำบาตรธนาคารกลางอิหร่านโดยสหรัฐฯ มีผลบังคับอย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ: 
www.manager.co.th : 27 พฤษภาคม 2555 16:01 น.

ที่แท้ ผัว-เมีย ดึงแก๊งเสื้อแดงป่วน มอ.คือลูกหม้อคณะแพทย์

 นางพัทนัย-นายมนตรี แก้วแพง
                       
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - เผยผัว-เมียที่รวมหัวกันดึงแก๊งเสื้อแดงป่วน มอ.หาดใหญ่ ที่แท้คือลูกหม้อของ “คณะแพทยศาสตร์” ฝ่ายเมียยังเป็นพยาบาลที่เพิ่งถูกปลดจากหัวหน้าหอผู้ป่วยกระดูกและข้อหญิง ส่วนผัวเป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายซักรีดโรงพยาบาล มอ.ที่เคยถูกแขวนก่อนลาออกไปซบระบอบทักษิณกินตำแหน่ง ส.ส.สอบตกพรรคเพื่อไทย
      จากกรณี “ASTVผู้จัดการภาคใต้” รายงานข่าวเกี่ยวกับแก๊งเสื้อแดงใช้วิธีตุกติกขออนุญาตเข้าไปใช้ห้องประชุมทองจันทร์หงส์ลดารมย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (มอ.หาดใหญ่) จัดกิจกรรมทางการเมืองให้นางลัดดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ กับนายสมพงษ์ สระกวี ได้ตีปี๊บกองทุนสตรี อันเป็นนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา จนกลายเป็นปัญหา และถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างหนัก ซึ่งหลังเกิดเหตุเพียงวันเดียว คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มอ.หาดใหญ่ ก็ได้มีคำสั่งตั้งกรรมสอบสวนบุคลากรคนหนึ่งในสังกัดที่เป็นผู้ทำหนังสือโดยใช้หัวกระดาษตราครุฑขออนุญาตใช้สถานที่ไปแล้วนั้น
      เกี่ยวกับเรื่องนี้มีรายงานว่า ผลจากคำสั่งที่ลงนามโดย รศ.นพ.สุเมธ พีรวุฒิ คณะแพทยศาสตร์ มอ.หาดใหญ่ ให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบในเรื่องนี้นั้น ทำให้นางพัทนัย แก้วแพง มีอันต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่หัวหน้าหอผู้ป่วยกระดูกและข้อหญิง ของโรงพยาบาล มอ.หาดใหญ่ และว่ากันว่า ถึงขั้นถูกสั่งพักงานจนกว่าจะทราบผลการสอบ ซึ่งปัจจุบัน นอกจากจะเป็นพยาบาลในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ มอ.แล้ว นางพัทนัยยังเป็น 1 ในคณะกรรมการสหกรณ์บริการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำกัด ที่มีอยู่ทั้งหมด 15 คนอีกด้วย
      ทั้งนี้ นางพัทนัยได้ทำหนังสือขออนุญาตใช้ห้องประชุมของคณะแพทย์ มอ.ในนามประธานชมรมพัฒนาบทบาทเสียงสตรีสงขลา ว่ากันว่า ต้องการช่วยเหลืองานการเมืองของสามีคือ นายมนตรี แก้วแพง ผู้ที่เคยลงสมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 2 สงขลา เมื่อการเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านมา แต่สอบตก ปัจจุบัน นายมนตรียังคงเดินหน้าทำงานการเมืองในนามพรรคเพื่อไทย และเป็นหนึ่งในแกนนำเสื้อแดงของ จ.สงขลา ซึ่งในวันจัดกิจกรรมเสื้อแดงใน มอ.หาดใหญ่ที่กลายเป็นปัญหาดังกล่าว นายมนตรีมีชื่อในกำหนดการว่าเป็นผู้กล่าวต้อนรับวิทยากร และสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสงขลา ในฐานะที่เขาเป็นที่ปรึกษาชมรมพัฒนาบทบาทเสียงสตรีสงขลา
      แหล่งข่าวในคณะแพทยศาสตร์ มอ.หาดใหญ่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แท้จริงแล้ว นายมนตรี แก้วแพง ก็เคยเป็นลูกหม้อของคณะแพทยศาสตร์มาก่อน และเคยมีตำแหน่งถึงหัวหน้าหน่วยซักรีดโรงพยาบาล มอ.หาดใหญ่ ก่อนที่จะถูกย้ายไปแขวน เพราะผลการปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ อีกทั้งมีการใช้เวลาราชการไปทำธุรกิจส่วนตัว ภายหลังจึงขอย้ายตัวเองไปอยู่คณะนิติศาสตร์ แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ ตัดสินใจลาออกไปลงสมัคร ส.ส.เพื่อไทย เขต 2 สงขลา ทั้งที่พื้นเพเป็นชาว จ.สุราษฎร์ธานี...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ: 
www.manager.co.th : 24 พฤษภาคม 2555 14:19 น.

คนไทยอาจไม่เคยรู้…เรื่องก๊าซเอ็นจีวีและก๊าซไบโอมีเทน...ประสาท มีแต้ม



คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
       โดย...ประสาท มีแต้ม 
       
       ผมเข้าใจว่ามีข้อมูลสำคัญอย่างน้อย 2 ชิ้นที่คนไทยเราอาจไม่เคยรู้มาก่อน คือ
       
       ชิ้นที่หนึ่ง ขณะนี้จำนวนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีของประเทศไทยมีมากเป็นอันดับสิบของโลกแล้ว ในขณะที่ประเทศจีน (ซึ่งมีประชากรมากกว่าเรา 20 เท่า) ติดอันดับ 7 (ดูตารางซ้ายมือ) ประเทศสหรัฐอเมริกาและเยอรมนียักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกติดอันดับ 17 และ 18 ซึ่งหล่นไปจากตารางที่ผมตัดมา
       
       ชิ้นที่สอง ประเทศเยอรมนีได้หันมาผลิตก๊าซที่มีคุณภาพเท่ากันกับก๊าซเอ็นจีวีเพื่อใช้ในรถยนต์โดยใช้วัตถุอินทรีย์เหลือใช้ เช่น กองขยะ มูลสัตว์ หญ้า และของเสียจากเทศบาลได้มากถึง 3 เท่าของก๊าซเอ็นจีวีที่ประเทศไทยใช้ทั้งหมด โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ (กราฟขวามือ)

ที่มา http://www.ngvjournal.dreamhosters.com/en/statistics/item/911-worldwide-ngv-statistics
       โดยปกติ ไบโอก๊าซ (ซึ่งมาจากการหมักหมมของสารอินทรีย์) จะมีส่วนประกอบของก๊าซมีเทนประมาณ 45-75% จึงต้องนำไปผ่านกระบวนการเพิ่มคุณภาพ (Upgrading) ให้เท่ากับก๊าซธรรมชาติ (จากแหล่งฟอสซิลในประเทศฟินแลนด์มีก๊าซมีเทนอยู่ประมาณ 98.1%) จากนั้นก็นำก๊าซไบโอมีเทนและก๊าซธรรมชาติเข้าไปผสมในระบบท่อเดียวกัน ผ่านกระบวนการอัดเพิ่มความดันจนสามารถใช้เติมให้รถยนต์ได้ดังแผนภาพ
       
       หลายประเทศในยุโรปมีการผลิตไบโอก๊าซกันเป็นจำนวนมาก โดยประเทศที่นำหน้าในเชิงปริมาณมากกว่าประเทศอื่นก็คือเยอรมนี โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี พ.ศ. 2563 ให้ได้ถึง 20 เท่าของปัจจุบัน หรือประมาณ 13% ของก๊าซธรรมชาติที่ประเทศไทยใช้ทั้งหมด
       
       กลับมาคิดถึงประเทศไทยเราซึ่งตั้งอยู่ในเขตร้อนที่มีศักยภาพที่เหมาะสมกับการเกษตรมากกว่าประเทศในทวีปยุโรป ถ้าเราอยากจะผลิตไบโอก๊าซใช้เองสัก 20-30% ทำไมจะทำไม่ได้ หรือทำไมเราไม่ทำ?
       
       คราวนี้มาถึงการวิเคราะห์ข้อมูล 2 ชิ้นข้างต้นครับ ผมเคยสรุปถึงกระบวนการพัฒนาของแต่ละประเทศภายใต้อิทธิพลของทุนข้ามชาติขนาดใหญ่หรือถ้าใช้คำให้ลึกและทันสมัยกว่านั้นก็คือ “ถอดรหัสแผนพัฒนาภายใต้เงาโลกาภิวัฒน์” ว่ามีอยู่แค่สองขั้นตอนเท่านั้นคือ (1) ล้างสมอง และ (2) ปล้น
       
       กล่าวเฉพาะกิจการพลังงานในบ้านเราซึ่งมีขนาดเกือบ 20% ของรายได้ประชาชาติหรือปีละเกือบ 2 ล้านล้านบาทนั้นก็ไม่พ้นไปจากสองขั้นตอนข้างต้นนี้ กล่าวคือ (1) พ่อค้าจะทุ่มงบประมาณเพื่อล้างสมองคนในชาติซึ่งรวมถึงการศึกษาในระบบด้วย ว่าพลังงานฟอสซิลที่ตนผูกขาดอยู่นั้น ดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ เป็นพลังงานสะอาด ทันสมัย มีประสิทธิภาพและราคาถูก จากนั้นก็ลงมือ (2) ปล้นทรัพยากรธรรมชาติที่ควรจะเป็นสมบัติของสาธารณะของทั้งคนรุ่นนี้และคนรุ่นลูกหลานขณะเดียวกันก็ลงมือปล้นโอกาสที่สาธารณะจะได้ใช้แหล่งพลังงานชนิดอื่นที่กลุ่มพ่อค้ารายใหญ่ยังผูกขาดได้ยาก เช่น พลังงานแสงแดด ลม ชีวมวล รวมทั้งจากของเสียที่เป็นอินทรีย์วัตถุในครัวเรือนที่คนเมืองใหญ่ๆ ขนไปทิ้งในชนบทหรือปล่อยลงแหล่งน้ำสาธารณะ
       
       ในแต่ละวันของปี 2555 คนไทยใช้ก๊าซธรรมชาติวันละ 4,274 ล้านลูกบาศก์ฟุต โดยที่ใช้มากตามลำดับคือการผลิตไฟฟ้า (59%) โรงแยกก๊าซ (20%) อุตสาหกรรม (14%) และใช้เป็นก๊าซเอ็นจีวีสำหรับยานยนต์ 6% (274 ล้านลูกบาศก์ฟุต) แล้วปริมาณก๊าซที่ว่านี้มีราคาเท่าใด? อันนี้ตอบยากครับ เพราะข้อมูลของทางราชการไม่เปิดเผยเท่าที่ควร แต่เท่าที่กระทรวงพลังงานให้ข้อมูลมา พบว่า ถ้าไม่รวมส่วนที่นำไปผลิตไฟฟ้า ในปี 2554 คนไทยใช้ก๊าซคิดเป็นเงินประมาณ 9.8 หมื่นล้านบาท ถ้ารวมส่วนที่ใช้กับการผลิตไฟฟ้าด้วยผมคาดว่าน่าจะประมาณปีละ 3 แสนล้านบาท
       
       ลองจินตนาการดูนะครับว่า ถ้าประเทศเราหันมาส่งเสริมการใช้ไบโอมีเทนให้เหมือนกับการใช้เอ็นจีวีในรถยนต์ (ที่โปรโมตกันจนติดอันดับสิบของโลก) แล้ว ประเทศเราจะน่าอยู่เพิ่มขึ้นขนาดไหน ขยะ น้ำเสีย แมลงวันก็น้อยลง รายได้นับแสนล้านบาทต่อปีก็กระจายตัว ไม่กระจุกอยู่ในกลุ่มพ่อค้าผูกขาด และสิ่งแวดล้อมโลกก็ดีขึ้นด้วย สิ่งที่เล่ามานี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมไทยถูกล้างสมองและปล้น เราจึงไม่ควรดูดาย...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ: 

www.manager.co.th : 28 พฤษภาคม 2555 08:37 น.



4 ปีเรืองอำนาจสู่ปรองดองฯ บิ๊กบัง เงินงอก 11 ล้าน ที่ดินงอก 9 แปลง


สำรวจขุมทรัพย์ “บิ๊กบัง” จากสมัยนั่งเก้าอี้รองนายกฯ ถึงยุคชงกฎหมาย “ปรองดอง” พบมีเงินฝากเพิ่มขึ้นกว่า 11 ล้านบาท ที่ดินงอกจาก 1 แปลงเป็น 10 แปลง ทรัพย์สิน “เมียคนที่สอง” กว่า 36 ล้านหายเข้ากลีบเมฆ
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวอิศรา ได้เปรียบเทียบข้อมูลทรัพย์สินของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ระหว่างช่วงยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขณะรับตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ วันที่ 2 สิงหาคม 2554 กับช่วงเป็นรองนายกรัฐมนตรี วันที่ 5 ตุลาคม 2550 มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากมายอย่างน่าสงสัย ดังนี้..
       
       ตอนเป็นรองนายกรัฐมนตรี วันที่ 5 ตุลาคม 2550 พล.อ.สนธิแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินว่ามีทรัพย์สิน 38,796,977.20 บาท นางสุกัลยา คู่สมรส (คนที่ 1) จำนวน 14,060,738.95 บาท นางปิยะดา คู่สมรส (คนที่ 2) 36,973,106.68 บาท น.ส.ศศินภา บุตรไม่บรรลุฯ 323,702.05 บาท
       
       ล่าสุด ตอนเป็น ส.ส.วันที่ 2 สิงหาคม 2554 พล.อ.สนธิแจ้งว่า มีทรัพย์สิน 46,834,299.40 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 24,960,524.40 บาท เงินลงทุน 13,745,775 บาท ที่ดิน 6,300,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง (บ้าน) 1 หลังมูลค่า 700,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 1,128,000 บาท หนี้สิน 551,850 บาท
       
       นางสุกัลยาแจ้งว่ามี 14,763,343.13 บาท ประกอบด้วย เงินฝาก 4,171,343.13 บาท ที่ดิน 5,200,000 บาท บ้าน 1 หลังมูลค่า 2,700,000 บาท รถยนต์ 2 คัน 2,140,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 552,000 บาท ไม่มีหนี้สิน บุตรไม่บรรลุฯ 638,829.11 บาท (เฉพาะเงินฝาก) รวมทั้งสิ้น 62,236,471.64 บาท
       
       เมื่อเปรียบเทียบทรัพย์สินกับตอนเป็นรองนายกฯ เฉพาะ พล.อ.สนธิ เพิ่มขึ้น 8,037,323 บาท
       จากการการตรวจสอบพบว่า ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เฉพาะ พล.อ.สนธิ คือ เงินฝาก จากเดิมตอนเป็นรองนายกฯ มี 13,355,541.59 บาท ล่าสุดมี 24,960,524.40 บาท เพิ่มขึ้น 11,604,982.81 บาท นางสุกัลยาจากเดิมเงินฝาก 3,966,933.58 บาท ล่าสุด 4,171,343.13 บาท
       ทรัพย์สินประเภทที่ดิน จากเดิม พล.อ.สนธิมิได้แจ้งว่ามีการครอบครองที่ดิน นางสุกัลยาแจ้งว่ามีเพียง 1 แปลง ได้แก่ โฉนดเลขที่ 68857 ต. คลองกุ่ม อ.บางกะปิ จ.กรุงเทพฯ เนื้อที่ 0-1-0 ไร่ มูลค่า 1,300,000 บาท
         การยื่นบัญชีฯ ในครั้งนี้ พล.อ.สนธิ และนางสุกัลยา ระบุว่า มีที่ดินรวม 10 แปลง เนื้อที่ 78-1-58 ไร่
       
       น่าสังเกตว่า รายการทรัพย์ที่ดินที่เพิ่มขึ้น 2 คนรวม 9 แปลง เป็นที่ดินที่ได้มาเฉพาะวันที่ 22 กรกฎาคม 2551 จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 77-1-40 ไร่ มูลค่าปัจจุบัน 3,000,000 บาท อยู่ใน ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา
       
       ได้มาเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2550 จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 0-2-0 ไร่ มูลค่าปัจจุบัน 2,600,000 บาท อยู่ใน ต.คลองกุ่ม บางกะปิ กรุงเทพฯ
       
       ได้มาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 0-1-0 ไร่ มูลค่าปัจจุบัน 1,300,000 บาท อยู่ใน ต.คลองกุ่ม บางกะปิ กรุงเทพฯ
       
       ที่ได้มาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2538 จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 0-1-0 ไร่ มูลค่าปัจจุบัน 1,300,000 บาท อยู่ใน ต.คลองกุ่ม บางกะปิ กรุงเทพฯ
       
       อีก 1 แปลงได้มาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2535 เนื้อที่ 0-0-22 ไร่ ตั้งอยู่ถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ มูลค่า 3,300,000 บาท
       
       น่าสังเกตว่า หลังรับตำแหน่งรองนายกฯวันที่ 5 ตุลาคม 2550 ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเฉพาะที่ดินทั้งสิ้น 7 แปลง ได้แก่ ที่ดินใน ต.ปากบาง อ.เทพา จ.สงขลา จำนวน 5 แปลง เนื้อที่ 77-1-40 ไร่ มูลค่าปัจจุบัน 3,000,000 บาท และที่ดิน ต.คลองกุ่ม บางกะปิ กรุงเทพฯ จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 0-2-0 ไร่ มูลค่าปัจจุบัน 2,600,000 รวมเนื้อที่ทั้งสิ้น 77-3-40 ไร่
       
       กล่าวสำหรับนางปิยะดา บุญยรัตกลิน ภรรยา (คนที่สอง) นั้น ตอนรับตำแหน่งรองนายกฯ วันที่ 5 ตุลาคม 2550 พล.อ.สนธิแจ้งว่า นางปิยะดามีทรัพย์สิน 42,073,106.68 บาท (ยอดรวมที่ ป.ป.ช.รวมถูกต้องคือ36,973,106.68 บาท) แบ่งเป็น เงินฝากธนาคาร 738,784 บาท เงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ 6.4 ล้านบาท ที่ดิน 16 แปลง 16.6 ล้านบาท (ป.ป.ช.ตรวจพบ 17 แปลง) บ้าน 2 หลัง 11.7 ล้านบาท ตึกแถว 1 หลัง 2 ล้านบาท รถยนต์ 5 คัน 3.7 ล้านบาท ทรัพย์สินอื่น 815,000 บาท ไม่มีหนี้สิน...



ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ: 
www.manager.co.th : 28 พฤษภาคม 2555 05:01 น.