This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

9 เหตุผล ที่คนไทยต้องรวมพลัง คัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดอง ทักษิณ


‘พธม.-เสื้อหลากสี’ แจกแจงเหตุผลสำคัญที่คนไทยทั้งประเทศต้องรู้ และเข้าร่วมรวมพลัง คัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองฯ ที่มีเนื้อหา สาระ เพื่อล้างมลทิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพลพรรค โดยไม่คำนึงถึงผลเสียของชาติที่จะตามมา พร้อมประกาศต่อต้านให้ถึงที่สุด 
       
            ประกาศตัวหลายครั้งว่าจะกลับบ้าน ทั้งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และลิ่วล้อต่างๆ โดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และวัฒนา เมืองสุข ผู้ที่ถูกพูดถึงว่าเป็นตัวหลักในการเดินเกมใต้ดินทำ พ.ร.บ.ปรองดองให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ในทำนองว่าอีกไม่นาน พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศไทย และต้องกลับมาอย่างสง่างาม
       
            เมื่อคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีวันที่จะยอมติดคุก ดังนั้นวิธีการเดียวที่จะกลับมาได้คือปลดล็อกตัวเองด้วยวิธีการทางกฎหมาย 
       
            ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณจึงมีการสั่งและใช้คนหลายคนเพื่อทำให้ตัวเองถึงเป้าหมายคือ กลับมาอย่างไร้ราคี เริ่มต้นตั้งแต่ตั้งท่าจะแก้รัฐธรรมนูญ แต่ท้ายที่สุดแล้วการแก้รัฐธรรมนูญอาจจะดูเหมือนว่าต้องใช้เวลานานไม่ทันใจ จึงเปลี่ยนแผนมาใช้วิธีเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติแทน
       
            โดยมีกระบวนการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ให้สถาบันพระปกเกล้า ศึกษาดูว่าปัจจัยที่ทำให้การปรองดองสำเร็จคืออะไร ซึ่งสิ่งที่สถาบันพระปกเกล้าได้เสนอมาก็เป็นไปในแนวทางที่มุ่งช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นเพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ถึงกับถูกสังคมตั้งข้อสงสัยในความไม่มีศักดิ์ศรีของสถาบันการศึกษาอย่างสถาบันพระปกเกล้ามาก่อนหน้านี้แล้ว
       
            อีกทั้งยังมีการใช้แม่ทัพใหญ่ที่แปรพักตร์มาอยู่ใต้อำนาจผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ในฐานะหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ที่ได้รับการผลักดันเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ มาเป็นตัวหลักในการเดินเกมช่วยตัวเองกลับบ้านแบบขาวสะอาด แถมได้เงินคืนอีก 4.6 หมื่นล้านบาท ด้วยวิธีการล้มล้างอำนาจทางกฎหมายของคณะปฏิวัติครั้งนั้นให้สิ้น
       
            แต่ลืมไปว่า คนที่จะไม่พอใจสุดๆ นั้นคือคนเสื้อแดงเอง เพราะพ่อแม่พี่น้องเขาเสียชีวิตไปในเกมการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อช่วงกลางปี 2553 ถึง 91 ศพ
       
            ดังนั้นเพื่อป้องกันคนต่อต้านทุกกลุ่ม แม้กระทั่งคนเสื้อแดงเอง อีกทั้งเพื่อให้ภาพออกมาดูดี พ.ต.ท.ทักษิณจึงสั่งให้ ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองอีก 3 ฉบับ คือร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ สามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย นิยม วรปัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ ส.ส.กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จากพรรคเพื่อไทย รวมเป็น 4 ฉบับ 
       
            นี่คือกลวิธีสร้างตัวเลือกให้สภาฯ แต่แท้จริงแล้วเนื้อหา พ.ร.บ.ปรองดองของทั้ง 4 ฉบับ กลับไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากนัก เพราะใจความสำคัญคือ การนิรโทษกรรม และคืนเงินทั้งหมดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ 
       
            แสดงให้เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับนั้นเหิมเกริมถึงขนาดที่ว่า เป็นการก้าวล่วงและหมิ่นอำนาจศาล โดยให้การตัดสินคดีทั้งหมดถือเป็นโมฆะ และนั่นคือสิ่งที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และกลุ่มเครือข่ายต่างๆ รับไม่ได้ และต้องออกมาคัดค้านในครั้งนี้
       
            อะไรคือเหตุผลที่จะต้องคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับนี้อย่างถึงที่สุด!
       
       9 เหตุผลที่ พธม. ไม่เอา พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ
       
            ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สรุปเหตุผลสำคัญไว้ 9 ประการที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เนื่องเพราะเป็น พ.ร.บ.ที่สร้างความแตกแยกทั้งแผ่นดิน ประกอบด้วย
       
            ประการแรก พ.ร.บ.นี้สร้างความแตกแยกให้กับคนในประเทศ เพียงแค่ร่างขึ้นมาก็เกิดเหตุการณ์เผชิญหน้า มีการชุมนุมของคนหลายกลุ่ม แสดงให้เห็นว่า พ.ร.บ.นี้ไม่ได้เห็นพ้องต้องกันกับคนทุกกลุ่ม
       
            ประการที่ 2 หลักการ เหตุผล และเนื้อหา เห็นได้ชัดว่ามีความไม่ชัดเจน คลุมเครือ ไร้ขอบเขต โดยเฉพาะคำนิยามของคดีทางการเมืองที่ไร้ขอบเขต ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างที่จะสร้างความวุ่นวายตามมา เช่น ปัญหาในเรื่องของการตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือปัญหาเรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะทำอย่างไรต่อไป พ.ร.บ.นี้จึงถือว่ามีปัญหาในเรื่องเทคนิคทางกฎหมายค่อนข้างมาก 
       
            ประการที่ 3 พ.ร.บ.นี้มีการล้างความผิดในอดีตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องโดยเฉพาะคดีทางอาญาให้พ้นผิด เหมือนกับไม่เคยรับผิดเลย รวมไปถึงคดียึดทรัพย์ 4 หมื่น 6 พันล้านก็ต้องคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด ซึ่งสังคมไทยไม่ควรจะยอมรับได้ ถ้ามีการทุจริตโกงภาษี
       
            โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเข้าใจว่า กรณีของยิ่งลักษณ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณมีการซุกหุ้นเกิดขึ้น โดยเฉพาะยิ่งลักษณ์เคยถือหุ้นแทนครอบครัวชินวัตรประมาณ 20 ล้านหุ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดจริง แต่ถ้าไม่จริงก็แปลว่ายิ่งลักษณ์ปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่น ป.ป.ช. เพราะไม่มีรายการนี้ ในทางใดทางหนึ่งจะต้องมีคนผิดหนึ่งคน แสดงว่ากฎหมายกำลังจะล้างความผิดในอดีต เท่ากับเป็นการละเมิดคำพิพากษา ฉีกคำพิพากษาอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง 
       
            ประการที่ 4 คดีทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรค โดยเฉพาะ 109 คน ซึ่งยังติดคดียุบพรรคพลังประชาชนอยู่ในขณะนี้ มีกรรมการบริหารพรรค 1 ท่านไปทุจริตการเลือกตั้งขึ้นมา กรณีนี้มีความชัดเจนว่า กฎหมายประกาศล่วงหน้าว่าอย่าทำ แต่ยังมีการทำ พ.ร.บ.นี้กลับไปล้างผลผิดแห่งการกระทำเหล่านั้น ซึ่งเป็นการทำลายหลักนิติรัฐอย่างชัดเจน 
       
            ประการที่ 5 การเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองมีการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์หลายประการ ตัวอย่างเช่น วัฒนา เมืองสุข เป็น ส.ส.ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการปรองดอง ผู้เสนอผ่าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทั้งที่คุณวัฒนา เมืองสุข ก็มีคดีอยู่ใน คตส.ด้วย เท่ากับเสนอ พ.ร.บ.ที่จะมาล้างผลผิดแห่งคดีที่ยังสอบสวน เช่นเดียวกันกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ และคนเสื้อแดงที่ยังมีคดีความอยู่ในชั้นอัยการและพนักงานสอบสวน ซึ่งหากคนเหล่านี้ได้ผลประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ โดยน้ำมือของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็แปลว่า องค์กรพรรคเพื่อไทยกำลังจะได้ประโยชน์ที่เรียกว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติใน รธน. มาตรา 122 จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย 
       
            ประการที่ 6 กรณีที่มีการล้างความผิดในคดีที่เป็นคดีร้ายแรง/รุนแรง เช่น การก่อการร้าย การทุจริต การฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐในขณะปฏิบัติหน้าที่ ถ้าหากมีการงดเว้นความผิดหรือล้างความผิดได้ สถานการณ์จะรุนแรงเป็นบรรทัดฐานที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายต่อไปในอนาคต คนทุจริตก็จะโกงได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยไม่มีความยำเกรงต่อกฎหมาย เหตุการณ์ที่เคยมีการก่อความรุนแรงในการชุมนุม เช่น การเผาบ้านเผาเมือง การใช้อาวุธสงครามยิงเจ้าหน้าที่รัฐ ก็จะเป็นบรรทัดฐานในการฆ่าคนได้มากขึ้น โดยไม่ต้องมีความผิด
       
            ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถใช้ความรุนแรงได้มากขึ้น ดังนั้นบรรยากาศเช่นนี้เป็นบรรยากาศที่จะสร้างความแตกแยกระยะยาวในอนาคตและหนักหน่วงรุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าทวีคูณ 
       
            ประการที่ 7 ทุกคนมองคำว่าปรองดองเป็นสิ่งสวยงาม แต่การแก้ไขปัญหาด้วยกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เน้นเรื่องความปรองดอง แต่เป็นการเอาชนะคะคาน อ้างความชอบธรรมในการทำให้ตนเองและพวกพ้องได้ประโยชน์จากกฎหมาย จึงเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นกฎหมายที่อยุติธรรม เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม และทำให้เกิดความไม่เสมอภาคของบุคคลในประเทศไทยที่นักโทษบางส่วนได้รับบทลงโทษอย่างหนึ่ง ได้รับการปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง
       
       แต่ถ้าเป็นพวกพ้องนักการเมืองจะได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งเหนือประชาชนและนักโทษโดยทั่วไป เป็นการสร้างบรรทัดฐานของอภิสิทธิ์ชน เท่ากับประชาชนโดยทั่วไปมีศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่าบุคคลเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งในลักษณะของระบอบประชาธิปไตยที่เน้นความเสมอภาคหรือเท่าเทียมกันทางกฎหมาย
       
            ประการที่ 8 ความปรองดองที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายเคารพกระบวนการยุติธรรม หมายความว่าทุกคนที่ถูกกล่าวหาโดยการถูกกลั่นแกล้งจากกระบวนการเจ้าหน้าที่รัฐ มีสิทธิ์ที่จะพิสูจน์ในกระบวนการของชั้นศาล เมื่อกระบวนการในชั้นศาลพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ผิด ศาลก็จะประทับตราว่าคนเหล่านั้นไม่ผิดและเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะไม่ต้องมีข้อกล่าวหากันไปมาอีก
       
       แต่ถ้าคนเหล่านั้นกระทำความผิดก็จะเข้าสู่กระบวนการที่ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ดังนั้น ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีบรรทัดฐานที่ทุกคนถูกปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกันทุกฝ่าย 
       
            ประการสุดท้ายคือ เหตุที่เกิดขึ้นและยังวุ่นวายกันในขณะนี้ เป็นเพราะเหตุผลเดียวคือ นักการเมืองไม่รู้จักคำว่าเสียสละ ถ้ารู้จักคำว่าเสียสละตัวเองเพื่อรักษาหลักนิติรัฐไว้แล้ว เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น และไม่มีทางเกิดความวุ่นวาย ขณะนี้ประชาชนมีความเดือดร้อนหลายเรื่อง ทั้งข้าวยากหมากแพง ปัญหาอุทกภัยก็ยังไม่ได้รับการเยียวยา สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะต้องมองไปที่ประโยชน์ของประชาชน
       
            เพียงแต่นักการเมืองและผู้นำมวลชนหลายกลุ่มในวันนี้ไม่รู้จักคำว่าเสียสละประโยชน์ส่วนตนหรือยอมรับโทษของส่วนตนเพื่อรักษาระบบที่ดีเอาไว้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยในอนาคตอย่างมาก
       
       เหตุผลกลุ่มเสื้อหลากสี ค้านปรองดอง
       
            ด้าน นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ระบุ 4 เหตุผลที่กลุ่มเสื้อหลากสีต้องรวมพลังชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เพราะเป็น พ.ร.บ.สร้างความแตกแยก ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติ
       
            1. พ.ร.บ.ปรองดองนี้ไม่ใช่การปรองดองจริงๆ แต่ชื่อที่แท้จริงควรจะเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแม้ว และยังเป็น พ.ร.บ.เพื่อความแตกแยกโดยแท้
       
            2.พ.ร.บ.นี้ ถือเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมโดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างมาก
       
            3.หาก พ.ร.บ.ปรองดองถูกบังคับใช้จริง ผลที่จะเกิดขึ้นคือ คนที่ทุจริตคอร์รัปชันจะพ้นผิด รวมถึงคนเผาบ้านเผาเมืองก็จะพ้นจากความผิดทั้งหมด นอกจากนั้นความจริงในเรื่องที่ทหารเข้าไปสลายการชุมนุมนั้น เป็นการเข้าไปทำร้ายประชาชนหรือเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อย คนก็จะต้องเข้าใจผิดต่อไป
       
            4.พ.ร.บ.นี้ เป็น พ.ร.บ.เพื่อความแตกแยก ปรองดองกับทักษิณ แต่แดงได้ประโยชน์ และคนในพรรคเพื่อไทยเองก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะบางคนจะหลุดคดี เช่น วัฒนา เมืองสุข ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ ก็จะกลายเป็นไม่ได้กระทำความผิด ระบบกฎหมายที่พิพากษาไว้ก็จะถูกทำลายโดยเสียงข้างมากในสภา ซึ่งไม่มีประเทศไหนที่เขาเจริญแล้วในโลกเขาทำกัน ถือเป็นเผด็จการรัฐสภาโดยแท้
       
            อย่างไรก็ดี นพ.ตุลย์ย้ำว่า กลุ่มเสื้อหลากสีจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะเมื่อ พ.ร.บ.ปรองดองผ่านสภาออกมาถึงวาระที่ 3 ยิ่งต้องชุมนุมต่อเนื่องจนกว่า พ.ร.บ.แห่งความแตกแยกนี้จะตกไป กลุ่มเสื้อหลากสีไม่ได้คัดค้านการปรองดอง แต่ถ้าเป็น พ.ร.บ.แฝงนิรโทษกรรมทักษิณและผู้ใช้อำนาจรัฐอย่างผิดๆ ก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th  : 30 พฤษภาคม 2555 19:41 น.




เปิดชนวนนองเลือดครั้งใหญ่ ชี้ ทักษิณแปลสัญญาณอำมาตย์ผิด


ประมวล 7 ประเด็นปัญหาที่จะทำให้การเมืองวิกฤตและนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ ที่คนทั้งประเทศไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เชื่อครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ สู้หมดหน้าตัก ชนิดที่แพ้ไม่ได้อีกแล้ว ด้านฝ่ายความมั่นคง ระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้วาทกรรม ‘เปลี๊ยนไป๋’ จากราชดำริถึงเมืองทองธานี เพราะแปลสัญญาณ ‘อำมาตย์’ ฝ่ายตัวเอง ที่สื่อไปถึงผิดความหมาย สุดท้ายจึงสั่งสู้หัวชนฝา! 
             ปัจจุบันรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจอย่างหนัก ว่าจะเดินหน้า พ.ร.บ.ปรองดองต่อหรือไม่ เพราะกระแสคัดค้านของสังคมเริ่มมีพลังขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบที่เรียกว่า “จุดติด” โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวอันทรงพลังของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มเสื้อหลากสี ฯลฯ รวมไปถึงกระแสการต่อต้านคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองในโลกของโซเซียลเน็ตเวิร์กทั้งทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก
            ล่าสุดกระแสของประชาชนทั่วไปยังสะท้อนผ่าน ดุสิตโพล และเอแบคโพลล์ อยากให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หันมาแก้ปัญหา “ข้าวของแพง” เป็นอันดับแรก ก่อนที่จะไปเดินเรื่องปรองดองเพราะจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายอย่างหนัก
             ซ้ำร้าย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ก็เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือน พ.ค. 2555 ว่าลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2554 และคาดว่าการบริโภคของประชาชนจะชะลอตัวลงถึงไตรมาส 2 ของปี 2555 นี้ เนื่องจากกังวลสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มขาดเสถียรภาพ
            แต่สุดท้ายรัฐบาลยังเลือกที่จะเดินหน้า พ.ร.บ.ปรองดอง รวมกับเหตุการณ์อื่นๆ ที่พร้อมเดินหน้าทั้งกระแสหนุน-กระแสต้าน ที่ล้วนเป็นชนวนทำให้บ้านเมืองแตกแยกครั้งใหญ่ และอาจหนักหนาสาหัสกว่าเหตุการณ์ร้อนแรงทางการเมืองทุกเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมา เพราะทุกฝ่ายในเวลานี้กำลัง “เทหมดหน้าตัก” ในศึกครั้งสุดท้าย และฝ่ายไหนจะแพ้ไม่ได้ เพราะเดิมพันครั้งนี้สูงค่ายิ่ง!
             อะไรคือประเด็นปัญหาที่จะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงทางการเมืองขึ้นไปอีก และสุดท้ายจะนำไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดในบ้านเมืองได้หรือไม่?
       
       7 ประเด็นร้อน! ทักษิณทำบ้านเมืองลุกเป็นไฟ
            ประเด็นแรก เรื่องร้อนที่สุดยังเป็นเรื่องของร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ พ.ศ... ที่วิปรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล เตรียมเดินหน้าอย่างสุดกำลัง ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาตินั้นถูกแนบแทรกคิวเข้าไปอยู่กับการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ รายละเอียดสำคัญแม้จะเป็นการให้เหตุผลที่ดูดีว่าเพื่อยุติความขัดแย้งในบ้านเมือง แต่ปรากฏว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ กลับมุ่งล้มล้างอำนาจของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เพื่อช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลุดพ้นคดีความที่เกิดขึ้นทั้งหมด หลังจากมีการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
          โดยรวมทั้งคดีที่มีการตัดสินไปแล้ว อย่างคดีที่ดินรัชดาฯ คดีซุกหุ้นที่จะเป็นการคืนทรัพย์สินให้ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านบาท และสามารถกลับประเทศไทยได้อย่างไร้ราคี
       อย่างไรก็ดี เนื้อหาสาระของร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ทั้ง 4 ร่างนั้น เน้นประเด็นเพื่อช่วยล้างความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น ถือเป็นการล้มล้างคำตัดสินของศาล ซึ่งถือเป็นการล้มล้างอำนาจระบบยุติธรรมของไทย ซึ่งประชาชนไทยส่วนใหญ่จะรับไม่ได้ เพราะเป็นการกระทำที่ทำให้บ้านเมืองเสียหายมาก และเสียหายในระยะยาว
         ประเด็นที่สอง คือการแก้ประมวล
       กฎหมายอาญามาตรา 112 ที่กลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะแกนนำกลุ่มซ้ายเก่า และกลุ่มอาจารย์นิติราษฎร์ต้องการให้มีการแก้ไข โดยเสนอให้ยกเลิกการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้กฎหมายใหม่ 4 มาตราคือ โทษหมิ่นประมาทต่อพระมหากษัตริย์ ให้มีโทษจำคุก 2 ปี โทษปรับ 50,000 บาท,โทษดูหมิ่น/อาฆาต ต่อพระมหากษัตริย์ โทษจำคุก 1 ปี โทษปรับ 20,000 บาท,หมิ่นประมาท ราชินี-รัชทายาท-ผู้สำเร็จราชการ โทษจำคุก 1 ปี และปรับ 30,000 บาท, ดูหมิ่น/อาฆาต ราชินี-รัชทายาท-ผู้สำเร็จราชการ โทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โดยทั้งหมดไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ เว้นโทษเมื่อแสดงความเห็นเชิงวิชาการและสำนักราชเลขาธิการเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้น
             ประเด็นนี้ แม้รัฐบาลจะประกาศยืนยันว่าจะไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเด็ดขาด แต่ยังปรากฏกลุ่มคนในขบวนการคนเสื้อแดงที่ยังเดินหน้าเคลื่อนไหวต่อไป
         ดังนั้น หากวันใดรัฐบาลหยิบเรื่องนี้มาเดินหน้าก็จะเป็นอีกชนวนใหญ่ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มเสื้อหลากสี และมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าคัดค้านอย่างถึงที่สุดเช่นกัน เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และมุ่งหวังที่จะทำลายสถาบันกษัตริย์อย่างชัดเจน 
         ประเด็นที่สาม การแก้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะล้มล้างอำนาจ คตส. หรือคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินแห่งรัฐ รวมถึงการปรับเปลี่ยนที่มาของศาล อันมีจุดมุ่งหมายที่จะลดอำนาจการตรวจสอบ ทำลายระบบตุลาการของประเทศไทย ก็ยังเป็นประเด็นร้อนที่คนในสังคมยังรับไม่ได้ โดยเฉพาะมาตรา 309 และ 237
        เพราะมาตราทั้งสองนั้น เป็นการล้มล้างอำนาจ คตส. ซึ่ง คตส.นั้นถูกตั้งขึ้นมาโดยคณะปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 เพื่อตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบของ พ.ต.ท.ทักษิณ ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดนั้น
        โดย คตส.ได้ทำการตรวจสอบทั้งหมด 14 คดี มีคดีที่ตัดสินแล้ว 2 คดีคือ คดีที่ดินรัชดาฯ ที่ตัดสินว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความผิดจริงและต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี และคดีซุกหุ้น ที่ตัดสินให้มีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านบาท
        ดังนั้น หากล้มอำนาจ คตส.ได้ เท่ากับว่าคดีทั้ง 14 คดีที่มีการตรวจสอบจะเป็นโมฆะ รวมทั้งคดีที่มีการตัดสินในกระบวนการชั้นศาลไปแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการทำลายระบบยุติธรรมของไทยอย่างร้ายแรง 
        ประเด็นที่สี่ คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้อง ในคำกล่าวหาที่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญของฝ่ายรัฐบาลมีเจตนามิชอบต้องการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องไปเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 55 โดยใช้อำนาจในเชิงป้องกัน โดยมีมติให้สภาฯ ชะลอการรับร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับบ้านเมือง
       เหตุการณ์นี้ทำให้วิปรัฐบาล และประธานรัฐสภาประกาศไม่รับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ โดยตีความในรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้อง แต่ผู้ร้องต้องร้องผ่านอัยการสูงสุด และให้อัยการสูงสุดมีความเห็นส่งฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเอง เป็นเหตุให้โฆษกศาลรัฐธรรมนูญได้ออกมาชี้แจงกับสาธารณชนว่า ศาลได้พิจารณาในประเด็นดังกล่าวก่อนแล้ว และศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะกระทำได้
       
            อย่างไรก็ดี ประเด็นคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงและพลพรรคเพื่อไทยต่างไม่ยอมรับอำนาจศาลและมีท่าทีเคลื่อนไหวตามมา โดยวิปรัฐบาลรวมทั้งพลพรรคพรรคเพื่อไทย มีมติเตรียมให้ ส.ส.125 คนลงชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 คน ยกเว้น ชัช ชลวร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อยที่มีความคิดเห็นต่าง รวมทั้งยังให้คนเสื้อแดงล่ารายชื่อเพื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นเดียวกันด้วย
       ‘ม็อบชนม็อบ’สัญญาณปฏิวัติ! 
            ประเด็นที่ห้า พฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่หยุดเคลื่อนไหว และมีท่าทีสั่งการเดินหน้าชนทุกๆ เรื่องและทุกๆ กลุ่มที่ขัดขวาง โดยเฉพาะหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สภาชะลอการรับร่างรัฐธรรมนูญในวาระ 3 แต่ปรากฏว่า สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ยังเดินหน้า ด้วยการนัดสมาชิกรัฐสภาลงมติการแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ในวันที่ 12 มิ.ย.นี้
        อีกทั้งยังมีการโฟนอินไปถึงกลุ่ม นปช.อย่างต่อเนื่องให้มีการเตรียมเคลื่อนไหวทั้งม็อบสนับสนุนรัฐบาล เตรียมต่อต้านรัฐประหาร และยังมีกรณี เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ซึ่งสังคมตั้งข้อสงสัยถึงความเอียงไปในทางเสื้อแดง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงนี้ด้วย
         นอกจากนี้สัญญาณจากการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงที่ผ่านมาชัดเจนมากว่าเป็นการระดมพลเพื่อจัดม็อบสู้ฝ่ายต่อต้าน ซึ่งเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจากการวิดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณในงานรำลึก 2 ปี ราชประสงค์ ที่จะให้คนเสื้อแดงลืมอดีต และยอมถอยคนละก้าวเพื่อการปรองดอง
        แต่ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ กลับโฟนอินเข้ารายการ ความจริงวันนี้ ของ 3 เกลอ และสั่งให้มวลชนเตรียมสู้เต็มที่
             “ไม่คิดจะทอดทิ้งคนเสื้อแดง และยังส่งคนไปช่วยเหลือตลอดเวลา เพราะมีหน้าที่สนับสนุน เราหัวใจถึงกัน ไม่ทิ้งกัน ที่พูดว่าอยากให้ปรองดองเพื่อให้ประเทศเดินหน้า แต่วันนี้เห็นแล้วว่าคนเสื้อแดงยังติดคุกอยู่หลายคน เพราะศาลไม่ให้ประกัน ดังนั้นเราต้องไม่ทะเลาะกันเอง ต้องช่วยกันเอาประชาธิปไตยกลับคืนมา แม้จะมีนักเลือกตั้ง แต่ไม่รักประชาธิปไตย จนกลัวว่าไทยจะเป็นเผด็จการแทนที่พม่า เราจะไม่ยอมถอย จะสู้ต่อไป รับรองว่า เที่ยวนี้ความสามัคคีพวกเราจะเป็นปึกแผ่น และหากได้กลับบ้านแล้วก็ต้องตอบแทนบุญคุณพี่น้องเสื้อแดง” คำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โฟนอินเข้ารายการ ความจริงวันนี้ ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้สภาฯ ชะลอการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3
           ประเด็นที่หก ม็อบชนม็อบ การประท้วงคัดค้านของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในครั้งนี้ต้องยอมรับว่าเป็นการชุมนุมไร้อาวุธที่จุดติด ทรงพลัง และจะเดินหน้าคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง คัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพียงคนเดียวอย่างถึงที่สุดนี้นั้น กำลังได้รับความสนใจและเข้าร่วมจากประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่อง
          ล่าสุด กลุ่ม นปช.ได้ประกาศจะตั้งม็อบมาสนับสนุนรัฐบาล และมีกระแสข่าวด้วยว่ารัฐบาลได้ระดมข้าราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้มาจัดม็อบสนับสนุนรัฐบาลอีกส่วนหนึ่งด้วย
          ความร้อนแรงที่สุดที่ทำให้บ้านเมืองถึงขั้นร้อนเป็นไฟ คือ ประเด็นที่เจ็ด เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังยืนยันจะให้มีการทำม็อบชนม็อบเพื่อสู้ศึกครั้งสุดท้าย น่าจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ทหารจำต้องออกมาควบคุมสถานการณ์ และอาจถึงขั้นปฏิวัติรัฐประหารที่คาดว่าจะเป็นการปฏิวัติที่จะมีการนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ได้
         “ตอนนี้ขึ้นอยู่กับกุนซือต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ตั้งแต่ พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต บ้านเลขที่ 111 บางคน เช่น ภูมิธรรม เวชยชัย, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ฯลฯ ว่าจะเสนอแนวทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณเดินหน้าต่อไปอย่างไร คนกลุ่มนี้สำคัญมาก เพราะจะแนะนำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดได้ แต่ถ้าไม่แนะนำให้หยุด บ้านเมืองก็จะร้อนเป็นไฟ”
      เสียงปืนแตกนัดแรก-รัฐบาลคือฝ่ายแพ้
          แหล่งข่าวด้านความมั่นคง วิเคราะห์ให้ ASTV ผู้จัดการรายวัน ฟังว่า ฝ่ายรัฐบาลควรจะต้องยอมรับว่าแพ้แล้ว เพราะขบวนการทั้งหมดเดินหน้าเพื่อช่วยคนเพียงคนเดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความชอบธรรมอะไรทั้งสิ้น แต่อีกฝ่ายคือฝ่ายค้านของภาคประชาชนกลับเดินหน้าเพื่อปกป้องระบบศาล คัดค้านการแทรกแซงอำนาจตุลาการ หรือ Check and balance ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำเพื่อประเทศชาติเป็นหลัก จึงมีความชอบธรรม ศึกครั้งนี้จึงเดิมพันสูงมากเพราะเป็นเรื่องของการปกป้องระบอบการปกครองของบ้านเมือง
        ทั้งนี้ หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเลือกเดินหน้าดัน พ.ร.บ.ปรองดองเพื่อให้ตัวเองกลับประเทศไทยได้โดยเร็วที่สุด ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อไรก็ตามที่มีเสียงปืนแตกจากฝ่ายตำรวจ ถือว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
        “ขณะนี้เชื่อว่ามีคนที่ต้องการใช้ความรุนแรง เพราะมีการเปลี่ยนตัวตำรวจ จาก พล.ต.ท.วินัย ทองสอง เป็นพล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ซึ่ง พล.ต.ต.คำรณวิทย์คนนี้มีประวัติในการใช้ความรุนแรงในภาคใต้มาก่อน แสดงว่ามีคนต้องการให้ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม”
       แต่หากเมื่อไรที่ตำรวจใช้ปืนหรืออาวุธกับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ ก็จะพ่ายแพ้ทันที ไม่เหมือนเหตุการณ์ปี 2553 เพราะกลุ่มผู้ชุมนุมมีความชอบธรรมในการชุมนุมเพื่อรักษาระบบยุติธรรมของประเทศ
           ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ยอมหยุดแน่นอน!
          “เราต้องสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณ พูดอะไรกับคนเสื้อแดง ตอนแรกพูดว่าเสื้อแดงเหมือนเรือจ้างส่งเขาถึงฝั่งแล้ว ต่อไปไม่ต้องเพราะเป็นหน้าที่ของเขาเองที่จะขึ้นเขา ประโยคนี้มีความหมายเพราะแปลว่า พ.ต.ท.ทักษิณเชื่อมั่นว่าสัญญาณที่ตัวเองได้รับเป็นสัญญาณดี จึงเดินหน้าปรองดองเต็มที่ แต่สุดท้ายมันผิดพลาด”
           สำหรับความผิดพลาดในครั้งนี้ น่าจะมีอยู่แค่ 2 ปัจจัย คือ 1. คนในกลุ่มอำมาตย์ที่เป็นคนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ 2. พ.ต.ท.ทักษิณเข้าใจสัญญาณนั้นผิดเอง
           “ที่ผ่านมาไม่แน่ใจว่าเข้าใจผิด หรือได้สัญญาณมาผิด ทำให้ลำพองใจ เดินหน้า พ.ร.บ.ปรองดอง น่าแปลกที่พอเอา พ.ร.บ.ปรองดองขึ้นมา สถานการณ์ก็พลิก ไม่ใช่เป็นแบบที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คิด จึงเกิดปฏิกิริยาต่อต้านมากกว่าที่คิด ดังนั้น ตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณจึงโมโหมาก และปรับเปลี่ยนท่าทีที่มีกับคนเสื้อแดงทันที และโฟนอินให้เสื้อแดงเตรียมต้านรัฐประหาร”
          ดังนั้น สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจึงขึ้นอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหลัก ว่าจะกลับไปคิดและตัดสินใจอย่างไร หรือจะตัดสินใจบนอารมณ์โกรธ โมโห ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่าย และกุนซือของ พ.ต.ท.ทักษิณจะมีบทบาทมากที่จะแนะนำ
         “สุดท้ายจะใช้วิธี ม็อบชนม็อบ ก็ต้องทำใจ ซึ่งจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ทหารออกมาควบคุมสถานการณ์ หรือกระทั่งปฏิวัติรัฐประหาร ครั้งนี้ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณแพ้ ก็จะแพ้อย่างหมดรูป เพราะไม่เหลือความชอบธรรมอะไรเลย จึงต้องคิดให้ดี จะปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวายหรือไม่”
     แหล่งข่าวด้านความมั่นคง ระบุว่า ทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ รัฐบาลควรปิดประชุมสภาฯ ไปก่อน ตามข้อเสนอของพรรคประชาธิปัตย์
          ถ้ายังดื้อดึงที่จะเดินหน้า พ.ร.บ.ปรองดองต่อ เชื่อว่าความรุนแรงอาจจะเดินหน้าไปจนถึงขั้นนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย เพราะใครจะยอมได้ ในเมื่อที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกระบุว่ามีพฤติกรรมทุจริตประพฤติมิชอบที่ชัดเจน อีกทั้งในการตัดสินคดีของศาล ก็มีเหตุมีผลที่ประชาชนเขารับฟังกันแล้วทั่วประเทศ การล้มล้างอำนาจ คตส. แทรกแซงระบบตุลาการครั้งนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้!
        จากนี้ไปจึงต้องจับตาดูว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะตัดสินใจเลือกทางเดินเช่นใด จะเดินหน้าสั่งการให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยและมวลชนคนเสื้อแดง ใช้ม็อบชนม็อบเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองและตระกูลชินวัตร โดยไม่นึกถึงความเสียหายของประเทศ หรือจะยอมเสียสละเพียงคนเดียวเพื่อให้ประเทศไทยรอดจากวิกฤตการเมืองครั้งนี้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกันแน่ ?!...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th  : 7 มิถุนายน 2555 09:04 น.





วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ถ้ายังถือดีทำร้ายชาติ.. ชีวิต เหลี่ยม จะพังพินาศกว่าที่หมอดูทำนาย..


ศูนย์ข่าวภูมิภาค - ถ้าหากยังถือดีทำร้ายชาติ ดื้อดึงบงการเกม พ.ร.บ.ปรองดองกับการแก้รัฐธรรมนูญ เริ่มจุดไฟในนาครให้คนไทยฆ่าฟันกัน หากยังกระทำอยู่ ผลที่ตามมาจะไม่เพียงแต่ “น้องสาว” ดีแต่สวยจะต้องตกจากเก้าอี้ผู้นำรัฐฯ เท่านั้น แต่ชีวิต “เหลี่ยม” กับครอบครัวจะพังพินาศกว่าที่หมอดูทำนาย 
       
       จู่ๆ อยู่ๆ “เหลี่ยมร้าย” ก็เปลี่ยนใจหลัง พ.ร.บ.ปรองดอง กฎหมายทำลายชาติเข้าประชุมสภาไม่สำเร็จ เพราะพลังประชาชนคนไทยผู้รักชาติพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปชุมนุมเพื่อต่อสู้ต้าน พ.ร.บ.ปรองดอง กันมืดฟ้ามัวดินดังที่ทราบกันดีแล้วนั้น ทำให้ “เหลี่ยมร้าย” ต้องโฟนอินมาใหม่ 2 มิถุนายน 2555 มายังเวทีแกนนำเสื้อแดงอ้อนคนเสื้อแดงว่า ไม่เคยคิดย่ำยีหัวใจคนเสื้อแดง อยากจะบอกว่า เขาเป็นคนรู้สำนึกคนเสื้อแดง ไม่คิดทิ้งคนเสื้อแดง ส่วนที่เคยพูดโฟนอินเข้ามาครั้งก่อน ขอบอกขอบใจ แล้วบอกลาพี่น้องคนเสื้อแดงพายเรือมาส่งถึงฝั่งแล้ว จะขอขึ้นรถขึ้นเขาไปตามทางอะไรนั่น ก็แก้ตัวแบบน้ำขุ่นๆ อ้างว่าเป็นเรื่องที่พูดไปนั้นสัญญาณการสื่อสารไม่ชัด ติดๆขัดๆ ว่าตอนพูดไปอยู่ที่เมืองบ้านนอกของเมืองจีน
       
       โถ่..คุณเหลี่ยมขลุ่ยช่างเก็บน้ำลายที่ถมถุยลงดินเก็บขึ้นมากลืนกินได้ลงคอ แล้วยังร้องเพลง “รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก” สร้างเสียงหัวเราะเบิกบานเป็นที่ชื่นอกชื่นใจคนเสื้อแดง เล่นเอาแกนนำม็อบที่ปลุกพวกให้เผาบ้านเผาเมืองได้ดีที่เป็น รมต.ยิ้มหน้าบานไม่หุบ เรื่องเช่นนี้จะมีนัยเป็นอื่นใดไปไม่ได้ แต่จะเป็นเพราะเหตุอะไรนั้น ประชาชนผู้รักชาติคนไทยทุกคนต่างรู้ทัน เกมตื้นๆ เช่นนี้
       
       ส่วนครั้งก่อนเดือนเมษายนที่ “เหลี่ยมร้าย” กับคณะยกพวกไปเล่นสงกรานต์ในแผ่นดินลาวไปตั้งเวทีฉลองสงกรานต์ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินขะแมร์ นอกจากจะได้แปลงชื่อเพลงฝรั่งเป็นชื่อไทยว่า “ช่างแม่มัน” แล้วไซร้ โดยตอกย้ำหลายครั้ง นั่นก็เป็นประเด็นที่ประชาชนคนไทยตั้งคำถามกันว่า จริงๆ แล้วนั้น เหลี่ยมมันด่า “แม่” ของใครกันแน่ อีกทั้งสมุนข้าทาสบริวารยังได้แต่งเพลงขับขานสรรเสริญ นาย “ฮุนซวย” อย่างเลิศลอย เข้าทำนองเกิดเป็นคนไทยแต่มีหัวใจเป็นทาสชนชาติอื่นโดยแท้ ก็แค่นายฮุนซวยใช้เล่ห์ทำอุบาย “ยืมดาบฆ่าคนบนผืนแผ่นดินไทย” ด้วยกันเอง ที่เขาทอดไมตรีให้นั้นมีเป้าหมายใหญ่อยู่ที่จะเอาผืนแผ่นดินไทยด้านเขาพระวิหารไปจากไทย ซึ่งจะเป็นเหตุใหญ่ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้สุดที่ผู้รักประชาชนจะทนได้ ทำไมถึงคิดกันไม่เป็น แกล้งโง่หรือเปล่า ?
       
       ระยะนี้ยิ่งมีสิ่งบอกเหตุล่วงหน้าที่ ผู้นำรัฐฯ นารี..ดีแต่ทำสวยเบ๊อะเฟอะ แม้จะเริ่มมีใบหน้าหมองเศร้า ได้เริ่มเปิดปากพูดกับสื่อต่างประเทศ พูดผ่านทางวิทยุกรมกร๊วก ถึงเรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองว่าเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา ทั้งยังเลี่ยงว่า พ.ร.บ.ปรองดองที่นำเข้าสู่สภานั้นไม่ใช่ส่วนของรัฐบาล แต่การปรองดองก็เป็นส่วนหนึ่งในโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้น เพื่อที่จะให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ สิ่งบอกเหตุนี้ชี้ให้เห็นว่า ยังมีความพยายามบงการจากคนอยู่นอกประเทศคนนั้นอย่างไม่ยอมเลิกรา เพื่อจะผ่าน พ.ร.บ.ปรองดอง กับการดึงดันแก้รัฐธรรมนูญไปให้จงได้ไปให้ได้ เพื่อจะได้กลับเมืองไทยแบบไร้มลทินแบบเท่ๆ สุดทีน
       
       ที่จริงเรื่องปรองดองแก้ได้ไม่ยาก แค่กล้าบินไปต่างประเทศไปพบกับ “เหลี่ยมร้าย” ผู้พี่ชายยื่นคำขาดไปเลยว่า ขออย่าพูดให้ท้ายใครๆ อีก ทั้งพวกเสื้อแดง หรือพวกกองกำลังเสื้อดำ (มีเขียวแตงโมแจม) ขออย่าให้ปลุกระดมจนเป็นชนวนเหตุให้คนไทยฆ่ากัน ถ้าพี่ “เหลี่ยม” ยังเห็นน้องสาวคนนี้อยู่ในสายตา จะได้อยู่ในอำนาจแก้ไขปัญหาให้ไป ส่วนเรื่องกลับบ้านก็ควรรอเวลาไปสัก 4 หรือ 5 ปีจะได้หรือไม่ เรื่องใหญ่ๆ เช่นนี้ต้องใช้เวลาทำความดีให้ประชาชนเห็นก่อน จะหักหาญเอาแต่ใจย่อมไม่ได้
       
       ถ้าทำได้ดังนี้ เรื่องปรองดองจะจบได้สวย ไม่ต้องออก พ.ร.บ.ปรองดองออกมาเป็นกฎหมาย เรื่องปรองดองเป็นเรื่องของจิตใจมากกว่า ด้วยคนไทยที่เป็นชาวพุทธเรื่องให้อภัยกันเป็นเรื่องที่มีอยู่ในหัวจิตหัวใจอยู่ แต่ต้องยอมรับผิดชอบชั่วดีเสียก่อน ใครมีคดีก็ว่ากันไปตามกระบวนการไปจบกันที่ศาลยุติธรรม มันถึงจะไปปรองดองกันได้ 
       
       ส่วนการชุมนุม 30 พฤษภาคม 2555 พลันที่พลังประชาชนคนไทยผู้รักชาติพันธมิตรฯ ได้ปรากฏขึ้นให้เห็นกันจะจะอย่างมากมาย ทำให้บรรดาข้าทาสบริวารของ “เหลี่ยมร้าย” พวกนักการเมืองกระหายเงิน หิวอำนาจ กับสื่อเชลียร์บางสื่อ ที่เคยร่วมกันสบประมาทพลังผู้รักชาติพันธมิตรฯ ไว้ โดยคาดการณ์ว่า จะมีไม่มากจุดไม่ติด เมื่อถึงสถานการณ์ปัจจุบัน คนพวกนี้จึงต้อง “สับขาหลอก” กันเป็นการใหญ่ เริ่มปลุกระดมเสื้อแดงขึ้นมาอีก และขบคิดกันหนักว่าจะทำอย่างไร ? ที่จะถือครองอำนาจไว้ต่อไปให้ได้นานที่สุด
       
       ครั้งนี้แค่หุ่นเชิดของ “เหลี่ยมร้าย” ครองมีอำนาจไม่ถึง 1 ปี ได้ทำร้ายจิตใจ ย่ำยีข้าราชการน้ำดีผู้รักประเทศชาติไปหลายคน นับแต่คุณถวิล เปลี่ยนศรี เลขา สมช. คุณอนุวัฒน์ เมธีวิบูลย์รัฐ อธิบดีกรมที่ดิน (ที่มีเหตุมาจากไปขัดใจผู้มีอำนาจเรื่องที่ดินของสงฆ์เหตุมาจากนักการเมืองเก่าแก่เล่นแร่แปรธาตุเอามาซื้อขายกัน) และข้าราชการดีอีกเกือบ 10 คน ถ้าอำนาจการบริหารแผ่นดินไทยตกอยู่ในกำมือ “เหลี่ยมร้าย” กับพวกนักการเมืองมารร้ายยาวนานออกไปเท่าใด พวกข้าราชการดีของชาติ กับพวกสื่อเองนั่นเองแหละที่จะมีที่ยืนอยู่ได้อย่างลำบาก
       
       ขนาดยังกุมอำนาจไม่เบ็ดเสร็จ ยังแสดงธาตุแท้ออกมาให้เห็นเช่นนี้ มีกระทำการกดดันแทรกแซงสื่อทั่วไป ตามสันดานนักการเมืองมาร้ายกินเมือง พวก “ทรราช” อ้างความเป็นประชาธิปไตยว่ามาจากการเลือกตั้ง ที่มีจิตใจเป็นเผด็จการ ภาพข่าวที่คนทำสื่อค่ายหนึ่งได้ถูกคำสั่งของ “เหลี่ยมร้าย” บัญชาให้ “เน.. ขะแมร์” ยกทัพสมุนบริวารไปล้อมอาคารสำนักงานที่ทำงานไว้ ..
       
       ส่งตัวแทนบุกเข้าไปในกองบรรณาธิการ ทำให้พนักงานคนทำสื่อสตรีท้องแก่ และพนักงานคนอื่นๆ ต้องปีนบันไดพาดรั้วหนีออกมาอย่างทุลักทุเล เพราะพวกสมุนที่ไปด้วยประกาศเผา ภาพข่าวตัวอย่างเพิ่งผ่านไปได้ไม่นานนักนี้ คงไม่ลืมกันไปง่ายๆ ล่าสุด นี่ก็เพิ่งโดนลดรายการต่างๆออกจากผังข่าวที่ อสมท ถึง 2 รายการคือ “เช้าข่าวข้น” กับ “ข่าวข้นคนข่าว” คงจะได้รู้สึกรู้ตระหนักถึงภัยจากอำนาจของพวกนักการเมืองทรราชกันบ้างแล้ว ดีแต่เหน็บ ASTVผู้จัดการอยู่เป็นประจำ คราวนี้โดนกับตัวเองเข้าดอกนี้ คงมึนตึ้บไปเหมือนกันใช่มั๊ย ไงล่ะมีลูกไปเข้าร่วมกระบวนแก้การกฎหมาย 112 กับพวกเขา แล้วพวกเขาไว้หน้าหรือเปล่าล่ะ
       
       อีกสื่อเป็นสื่อดีหัวสีบานเย็น มีประวัติมีอดีตการต่อสู้มายาวนานเป็นสื่อผดุงความเป็นธรรมให้ประชาชนมา บัดนี้เริ่มเปลี่ยนไป ดั่งพาดหัวข่าวในออนไลน์ว่า...เลื่อนประชุมไร้กำหนด “พธม.” คลั่งลุยฝ่าดงตำรวจสกัด ส.ส.เพื่อไทยเข้าสภา ทำไมจึงพาดหัวข่าวเรียกแขกได้ถึงเพียงนี้ ซ้ำเติมประชาชนคนไทยผู้รักชาติพันธมิตรฯ ได้อย่างนั้น และอีกหลายๆ ข่าวเขาก็เข้าข้างฝ่ายถืออำนาจอยู่ไม่น้อย เป็นสิ่งคาดไม่ถึงว่าสื่อดีมีอดีตได้ต่อสู้กับทรราช คณะปฏิวัติผ่าน 14 ตุลาคมปี 2516 มาได้ หนังสือพิมพ์หวิดถูกปิดตาย ผู้สื่อข่าว ช่างภาพ หัวหน้าข่าว กับบรรณาธิการขณะนั้นที่เขียนข่าวนำเสนอการชุมนุมต่อสู้ของนิสิตนักศึกษากับประชาชน หากเป็นฝ่ายแพ้แน่นอนย่อมมีคุกติดตะรางมีข้อหา “ภัยสังคม” แถม
       
       แล้วย้อนไปครั้งที่ “เป็ด เฉ-ลิม” มึนแอลกอฮอล์หน้าแดงก่ำ เมาอำนาจด่ากราดนักข่าวที่สถานีตำรวจทองหล่อ สื่อสีบานเย็นไม่รู้ตัวหรือว่าที่ “เป็ดเฉ-ลิม” ได้ด่าพาดพิงไปถึงบรรณาธิการด้วยอย่างสาดเสียเทเสีย ขอให้ไปเปิดคลิปวิดีโอดูเถิด ซึ่งช่วงนั้นได้มีประชาชนผู้รักความเป็นธรรม ชื่นชมผลงานการต่อสู้ของสื่อสีบานเย็น ได้พากันรุมด่าทอสาปแช่ง “เป็ด เฉ-ลิม” ไปทั่วประเทศ รวมทั้งผู้เขียนนี้ต่างเห็นใจรุ่นน้องนักข่าวคนนั้นอย่างยิ่ง
       
       ในฐานะที่เคยเป็นศิษย์เก่าแก่ของสื่อดีนี้มาแต่ครั้งโรงพิมพ์สี่พระยาหน้ากรมสรรพสามิตรุ่น 2509-2517 ขณะนี้มาเป็นผู้รักชาติพันธมิตรฯ คนหนึ่งขอบอกว่าไม่ได้ “คลั่ง”..ตามที่พาดหัวข่าว แม้จะมีสื่อเขียนหาว่าเป็นพวก “คลั่งชาติ” บังเอิญสื่อพวกนั้นเป็นสื่อเชลียร์ผู้ถืออำนาจรัฐฯ หวังเอาโฆษณาจากหน่วยงานของรัฐฯ จึงมิได้ถือสาหาความไม่โต้ตอบ แต่ครั้งนี้เป็นสื่อดีจึงขอเขียนถึงไว้ด้วยความเจ็บปวดหัวใจจริงๆ 
       
       ปัจจุบัน สภาพของผู้นำรัฐฯ เริ่มเสื่อม ประชาชนไม่ศรัทธาเหมือนช่วงที่หาเสียงเลือกตั้ง ส่วนที่หาเสียงไว้เรื่องราคาพลังงานน้ำมันจะทำให้ลดราคาลงมากๆ นั้น เมื่อมีอำนาจกลับไม่ทำ กลับชอบที่จะไปดูแลแรงงานต่างชาติให้ได้ค่าแรงวันละ 300 บาท ขณะแรงงานไทยยังตกงานไม่มีงานทำกันอยู่จำนวนมาก ราคาค่าครองชีพอาหารการกินขึ้นราคาไปแล้วก็ลงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ราคาข้าวมันไก่-ไก่สับ เดิมห่อละ 50 บาท (แยกข้าว) ขึ้นราคาเป็นห่อละ 70 บาท ข้าวมันห่อ 10 บาท (มีนิดเดียว) ต้องห่อละ 15 บาทจึงจะได้มาก
       
       ส่วนอาหารข้าวแกงใส่ถุงขายแม่ค้าพ่อค้าเขาค้าขายกันอยู่ดีๆ ถุงละ 20 บาทถึง 25 บาท ก็ไปบอกว่าอย่าให้เกิน 30 บาท คราวนี้เป็นไงล้วนราคา 30 บาทกันไปหมดทุกที่ ตอนนี้ข้าวผัดห่อละ 40 บาทไปแล้ว แม้แต่กากหมูที่เคยมีราคาไม่แพง เมื่อแม่ค้าเจียวเอาน้ำมันไปขายแล้ว ก็จะนำกากหมูมาใส่ถุงขายราคาถุงละเกือบ 100 บาทไปแล้ว ชาวบ้านร้านช่องเขาซื้อกากหมูมาทำไม เขาซื้อมาผัดกับพริกแกงไว้กินกับข้าวสวยร้อนๆ อีกส่วนหนึ่งแยกเก็บใส่กล่องไว้เวลาจะนำมากินก็เอามาอุ่นในหม้อข้าวหุงข้าวกินได้หลายมื้อ ชาวบ้านประหยัดกันอย่างนี้ แม่เจ้าประคุณ “ปูน้อยหนีบมือ” คงไม่รู้ เพราะไม่ใช่คนยากคนจนหาเช้ากินค่ำ
       
       ก็ฝากไว้ตรงนี้ว่าที่จะมาประชุม ครม.ที่ชลบุรี เมืองพัทยา หากมาเมื่อใด จะมีประชาชนที่เดือดร้อนจริงๆ จากในทุกเรื่องจากจังหวัดภาคตะวันออกจะพากันแห่ไปขอความช่วยเหลือนับร้อยๆคน หรือมากกว่านั้น ต้องขอเขียนบอกไว้ล่วงหน้า ส่วนจะมาจากปัญหาอะไรนั้น ย่อมไม่เกินการข่าวของคนของรัฐฯ ขณะนี้จะหาความจริงได้
       
       สำหรับ “เหลี่ยมร้าย” หากจะกลับใจทำความดีก็ย่อมได้ แต่หากยังขืนดึงดันต่อไปเห็นชีวิตคนไทยด้วยกันไร้ค่า เป็นเช่นดังผักปลาแล้วล่ะก้อ ขอจงอ่านประโยคต่อไปนี้ไว้แล้วพิจารณาเอาเองเถิด
       
       “สิ่งใดที่ได้มาด้วยอำนาจ สิ่งนั้นต้องรักษาด้วยอำนาจ อำนาจทำให้คนขาดเขลาลุ่มหลง มัวเมา เห่อเหิมทะเยอทะยาน ขณะที่บรรดานักปราชญ์นั้นจะเห็นว่า อำนาจนั้นคู่กับอนิจจัง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน ไม่ถาวร” กับอีกประโยคที่ว่า “คนที่ไม่รู้จักแพ้ จะไม่รู้จักชนะ แพ้กับชนะเป็นของคู่กัน นักกีฬาต้องรู้แพ้รู้ชนะ แต่เรามักจะฝึกสอนกันให้รู้จักชนะแต่อย่างเดียว ไม่ฝึกสอนให้รู้จักแพ้ หรือแพ้เป็น ถึงคราวแพ้ต้องรู้จักแพ้ และต้องยอมแพ้วันนี้เพื่อชนะวันหน้า..” ส่วนปราชญ์ผู้เขียนประโยคเหล่านี้เป็นปราชญ์เป็นบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ในโลกแห่งธรรม มีชื่อเสียงจังหวัดภาคตะวันออก ซึ่งท่านได้ล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้ว บังเอิญที่เคยได้ใกล้ชิดท่าน ได้รับธรรมเมตตาจากท่าน จึงเขียนความให้ปรากฏไว้บนแผ่นดินทองผืนนี้
       
       แล้วที่ “เหลี่ยมร้าย” ทำเป็นคึกจัดโฟนอินจากนอกประเทศมาอ้อนยังเวทีเสื้อแดงอีกนั้น เพื่อการใด เพื่อให้สมผลประโยชน์ของตัวใช่หรือไม่ จงถามใจตัวเองดูว่า คิดดีคิดชอบแล้วใช่ใหม ที่จะเอาชีวิตคนไทยบางส่วนที่ใช้ “อำนาจเงิน” หว่านเอามาเป็นพวกมาเป็นกำแพงเป็นปราการให้ และประมาทว่าคนไทยอีกส่วนหนึ่งหงอไม่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้ ทั้งๆ รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นการประเมิน และคาดการณ์ที่ผิดพลาดแต่ก็ยังดันทุรัง
       
       ถ้ายังถือดีทำร้ายชาติ ดื้อดึงบงการเกม พ.ร.บ.ปรองดอง กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จุดไฟในนาครให้คนไทยต้องฆ่าฟันกันเอง คงไม่ใช่เพียงแค่น้องสาวผู้นำรัฐฯ ก็คงต้องหลุดจากเก้าอี้อำนาจเท่านั้น แต่ชีวิต “เหลี่ยม” จะพังพินาศ แล้วจะพันกันไปถึงชีวิตครอบครัว มากกว่าที่หมอดูได้ทำนายทายทักไว้ แล้วหากเกิดบังเอิญว่า “เจ้ากรรมนายเวร” ตามมาทัน จะส่งซิกส่งสัญญาณให้ลูกๆ เผ่นไปตั้งหลักที่สิงคโปร์ หรือฮ่องกงไม่ทันได้เดือดร้อนกันก็คราวนี้
       
       ภายหลังโฟนอินมาเอาใจแกนนำแดงกับพวกข้าทาส ขณะนี้ แกนนำแดงได้ออกข่าวจวกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันแล้ว พูดเรื่องโน้น พูดเรื่องนี้กลับความจริงให้เป็นความเท็จ สุดแต่พวกปากผีเจาะมาให้พูดจะว่ากันไป แต่จะเป็นเล่ห์เพทุบายกลบข่าวที่กระทรวงต่างประเทศจะทำเรื่องให้ “เหลี่ยมร้าย” เดินทางเข้าอเมริกาให้จงได้ แล้วทำสัญญาให้พวกอเมริกันมาใช้ฐานบินอู่ตะเภาอีกครั้ง คนพวกนี้ช่างลืมอดีตเสียจริงๆ ที่ฐานบินเก่าอเมริกันที่อุดรนั่นก็ครั้งหนึ่งแล้วให้พวกสิงคโปร์ก็มาตั้งฐานบินฝึกซ้อม ก็ไปทำสัญญาเอาไว้มิใช่หรือ ครั้งที่เอาญาติพี่น้องมาดำรงตำแหน่งใหญ่โตทางการทหาร ช่างทำเรื่องชั่วได้ใจจริงๆ ช่างดูถูกผู้รักชาติคนไทยกันจนเกินไป เห็นพวกเรากินแกลบแทนข้าวหรือยังไง ก็ไม่อยากจะนึกถึงคำของหมอดูทั้งหลายที่ได้ทำนายไว้ อ่านคราใดขนลุกขนชันครานั้น มันจะไม่ใช่ไม่ได้กลับบ้านมาเท่านั้นเสียแล้วละ
       
       “เหลี่ยมร้าย” เอ๊ย กล้าหรือเปล่า ใจถึงหรือเปล่า ถามจริงๆ เหอะ ว่าเป็นคนมีอุดมการณ์เพื่อประชาธิปไตยจริงๆ หรือ หรือแค่ก่อเรื่องป่วนเพื่อประโยชน์แห่งตน ทั้งก่อนที่จะสั่งสมุนให้ก่อเรื่องในไทยครั้งใดก็จะให้ลูกๆ เมียๆ เผ่นออกไปตั้งหลักต่างประเทศ ก็แค่ดีแต่หลอกใช้คนอื่นๆ ให้มาเสี่ยงชีวิตตายแทน ถ้าแน่จริงเหมือนที่เคยประกาศไว้ ให้ขี่เครื่องบินมาลงที่เชียงใหม่บ้านเกิด แล้วนำทัพคนเสื้อแดงเข้ามาเมืองหลวงได้เลย
       
       กล้าๆ หน่อย “เหลี่ยมร้าย” เอ๊ย จะมัวไปหลอกใช้คนนั้นคนนี้ทำตัวเหมือน “พระยาละแวก” (ขะแมร์) กลับชาติมาเกิดยังไงยั้งงั้น จะทำศึกทั้งทีก็ไม่ทำให้สมฐานะผู้นำที่เคยเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ไหนว่าสู้เพื่อเป็นประชาธิปไตยไงละ ทำไมไม่เข้ามานำมวลชนเอง เรื่องมันจะได้จบๆ กันไปเสียที. 
       ...........................................
       
       โดย..ทัพหน้า


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th  : 5 มิถุนายน 2555 15:29 น.




เกมซ่อนกลดับอหังการ แก๊งทักษิณ เหลิงอำนาจ


ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เกมซ่อนกลดับอหังการ “แก๊งทักษิณ” เหลิงอำนาจดันทุรังล้มล้างรัฐธรรมนูญ-นิรโทษกรรมฟอกผิด เจอย้อนศรจากคำสั่งศาลฯ ขวางแก้รัฐธรรมนูญล้างอำนาจตุลาการภิวัฒน์ ขณะที่กฎหมายปรองดองเจอพลังม็อบพันธมิตรฯ ยังลูกผีลูกคน พอสิ้นท่าเรียกหามวลชนคนเสื้อแดงช่วยทั้งที่เพิ่งถีบหัวส่ง จับตาการปลุกกระแสหลอกแดงไปตายแทนยกใหม่
       
       หลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 5 ส.ส. ส.ว. และคณะ ที่ขอให้ศาลฯ พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 กรณีคณะรัฐมนตรี รัฐสภา พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และคณะ ได้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีผลทำให้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ พร้อมกับมีคำสั่งให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแจ้งรัฐสภารอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญอย่างกว้างขวาง ทั้งคัดค้านและสนับสนุน
       
       ทางพรรคเพื่อไทยถึงกับออกแถลงการณ์ตอบโต้คัดค้านการออกคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญด้วยเหตุผลว่าอยู่นอกขอบเขตอำนาจ พร้อมๆ กับปลุกระดม นปช.เคลื่อนไหวล่าชื่อถอดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประสานกับการออกมาให้ความเห็นของนักวิชาการด้านกฎหมายกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เป็นไปในแนวทางเดียวกับพรรคเพื่อไทย
       
       แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งออกมาแล้วต้องดำเนินไปตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคห้า ว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ” ดังที่นักกฎหมายรุ่นใหญ่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ให้ความเห็น แม้ว่ามีชัยจะไม่ได้ตอบให้ชัดในประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงกันที่ว่าการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องผ่านอัยการสูงสุดเพียงช่องทางเดียวหรือไม่
       
       ผลจากคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญทำให้การผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งกุมเสียงข้างมากในสภาฯ ใส่เกียร์ห้าเดินหน้าเต็มที่ มีอันต้องหยุดชะงัก เช่นเดียวกันกับร่าง พ.ร.บ.ปรองดองที่ยังถูกแช่อยู่ในสภาฯ หลังจากเจอม็อบเคลื่อนไหวกดดันกระทั่งต้องงดการประชุมและเลื่อนออกไป
       
       ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นานรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าไม่มีอะไรจะมาขวางกั้นความต้องการของพวกเขาได้อีกแล้ว เพราะการยึดกุมอำนาจฝ่ายบริหารและอำนาจนิติบัญญัติเอาไว้ในมืออย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวมทั้งการลงทุนสร้างกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นฐานมวลชนที่สู้ถวายหัวเพื่อทักษิณ ขณะที่ฟากพรรคประชาธิปัตย์ต่างง่อยเปลี้ย และพลังม็อบเสื้อเหลืองก็อ่อนล้าลงไปมากเพราะปัญหาภายใน
       
       ความลำพองในอำนาจที่มีอยู่ในมือจึงมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้มล้างอำนาจ “ตุลาการภิวัฒน์” ที่มีมากล้นในรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งนายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หนึ่งในคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ ได้เสนอความเห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะเหลือองค์กรอิสระเท่าที่จำเป็น ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองควรเป็นแผนกหนึ่งของศาลฎีกาเท่านั้น
       
       ความคิดยุบทิ้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง การล้มล้างความผิดผ่านการแก้ไขมาตรา 309 ผนวกกับการเร่งรีบเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่สามารถดึง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ อดีตประธาน คมช. หัวหน้าคณะรัฐประหาร 19 กันยาฯ ให้กลับหลังหันมาเป็นหัวหอกสู้เพื่อทักษิณอีกคนนับเป็นจังหวะก้าวที่ต่อเนื่อง โดยอีกฟากหนึ่ง นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวทักษิณ ก็เดินหมากเข้าคาราวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เสมือนการขอญาติดีกับอำมาตย์ใหญ่จากที่เคยโหมกระแสโจมตีโค่นล้ม
       
       การประสานสิบทิศสร้างความมั่นใจว่าการกลับบ้านพร้อมได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดคืนจะไม่มีปัญหาใดๆ กระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรีวิดีโอลิงก์ถึงพี่น้องเสื้อแดงในวันครบรอบ 2 ปีที่ราชประสงค์ ขอให้ลืมอดีต เดินหน้าปรองดอง เรื่องราวที่ผ่านมาดูแล้วปัญญาอ่อน พร้อมกับจะขอเดินต่อเอง สร้างความเจ็บช้ำให้แก่คนเสื้อแดงที่สูญเสีย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับสงครามไพร่โค่นอำมาตย์ไม่น้อย และทำให้เสื้อแดงที่ถูกหลอกทั้งแผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง 
       
       แต่แล้วความฝันที่เจิดจ้ากลับมีอันมืดมัว เพราะม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เคยปรามาสว่า หมดน้ำยาแล้ว กลับฟื้นคืนพลังเหมือนเทียนแห่งธรรมที่ไม่เคยดับ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญที่เป้าหมายถูกยุบทิ้ง ก็มาชิงออกคำสั่งให้รอการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำลังจะผ่านวาระ 3 เอาไว้เสียก่อน จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย
       
       สงครามความขัดแย้งรอบใหม่ถูกจุดขึ้นแล้ว น่าติดตามอย่างยิ่งว่าการหาทางทะลุทะลวงเกมซ่อนกลดับอหังการแก๊งทักษิณคราวนี้จะมีบทสรุปเช่นใด และการปลุกระดมคนเสื้อแดงให้กลับมารับใช้ทักษิณเริ่มขึ้นอีกครั้ง จะยังมีพี่น้องเสื้อแดงที่พร้อมสู้ตายถวายชีวิตเพื่อทักษิณหลงเหลืออยู่อีกมากน้อยเพียงใด...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th : 6 มิถุนายน 2555 16:47 น.




วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แฉเยอรมนีช่วยอิสราเอลติดหัวรบนิวเคลียร์เรือดำน้ำ

แฟ้มภาพ เรือดำน้ำชั้นดอลฟินของอิสราเอลในปี 1999
เอเอฟพี - แดร์ สปีเกล นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ทรงอิทธิพลของเมืองเบียร์ ฉบับวันจันทร์ (4) เผย อิสราเอลติดอาวุธเรือดำน้ำ ด้วยขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์ โดยได้รับความช่วยเหลือทั้งด้านกำลัง และทุนทรัพย์จำนวนมหาศาลจากเยอรมนี 
       
       นิตยสารฉบับนี้รายงานเรื่องจากหน้าปก ซึ่งเหมือนจะจุดไฟความขัดแย้งในเยอรมนี ที่จนปัจจุบันนี้ รัฐบาลเบอร์ลินยังคงปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นว่าเรือดำน้ำของเยอรมันถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งในคลังแสงของอิสราเอล
       
       ขณะที่อิสราเอล โดย ยิกัล ปาลมอร์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศ ยืนยันเพียงแต่ว่าประเทศของเขามีเรือดำน้ำของเยอรมนีร่วมในกองทัพด้วย
       
       “ผมสามารถยืนยันว่าเรามีเรือดำน้ำของเยอรมัน มันไม่ใช่ความลับ” โฆษกคนดังกล่าวเผย และว่า “นอกจากนั้น ผมไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะพูดถึงศักยภาพของเรือดำน้ำเหล่านั้น”
       
       อิสราเอลเป็นประเทศเดียวในตะวันออกกลางที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์โดยไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมเยอรมันเผยกับแดร์ สปีเกล ว่า รัฐบาลยอมให้ยิวติดหัวรบนิวเคลียร์บนเรือดำน้ำชั้นดอลฟินได้มาโดยตลอด
       
       บทความจากข้อพิสูจน์ที่พูดถึงกันมานานชิ้นนี้ อ้างเอกสารจากกระทรวงต่างประเทศในเบอร์ลิน ซึ่งบ่งชี้ว่า เยอรมันตะวันตกรับรู้การกระทำดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 1961
       
       เยอรมนีส่งมอบเรือดำน้ำให้แก่อิสราเอลแล้ว 3 ลำที่กำลังมีปัญหา และยังมีอีก 3 ลำที่จะถึงกำหนดส่งมอบภายในปี 2017 ภายใต้ข้อตกลงที่เพิ่งลงนามกันไป ส่วนรัฐบาลยิวเองก็กำลังพิจารณาว่าจะสั่งเรือดำน้ำเพิ่มอีก 3 ลำดีหรือไม่
       
       ตามรายงานระบุว่า เยอรมนีหวังให้อิสราเอลยอมรับการตั้งรกรากในดินแดนปาเลสไตน์ และเห็นชอบการสร้างโรงบำบัดสิ่งปฏิกูลในฉนวนกาซา เพื่อแลกกับความช่วยเหลือดังกล่าว
       
       ทั้งนี้ อิสราเอลมองว่าประเทศตัวเองอาจถูกคุกคาม หากอิหร่าน ศัตรูตลอดกาลเดินหน้านิวเคลียร์ จึงไม่ปฏิเสธที่จะใช้กำลังโจมตีโรงงานปรมาณูของเตหะราน เช่นเดียวกับความคิดของสหรัฐฯ และเยอรมนีก็เป็นพันธมิตรในยุโรปที่ใกล้ชิดกับยิวที่สุด...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th :4 มิถุนายน 2555 16:01 น.

เหลี่ยมยกระดับงานขายชาติ


โสภณ องค์การณ์
โดย โสภณ องค์การณ์
สภาพเมืองไทยเหมือนกับความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก การเมืองวุ่นๆ อยู่กับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากกว่าการแก้ไขปัญหาปากท้องของชาวบ้าน พยายามผลักดันร่างกฎหมายปรองดองในบรรยากาศของความขัดแย้งในสภา และนอกสภา ทั้ง 2 ประเด็นเพียงเพื่อตอบสนองปัญหาของคนหนีคุกกำลังป่วยหนัก
       ป่วยด้านร่างกาย สังขารร่วงโรยร้ายแรงมากแค่ไหน ดูสภาพใบหน้า ท่าทาง น้ำเสียง บ่งบอกถึงอาการไม่ปกติสุขแน่นอน โผล่หน้าออกจอทีวีแต่ละครั้ง สาวก ทาสเงิน และผู้คนซึ่งเกลียดชังได้สังเกต เห็นความแปรเปลี่ยน ซูบซีดโทรมรวดเร็ว
       เมื่อสุขภาพกายเป็นปัญหา ขึ้นอยู่กับแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจะวิเคราะห์ แต่ชาวบ้านทั่วไปผู้ติดตามพฤติกรรมของคนหนีคุกรายนี้เชื่อได้ว่าปัญหาสุขภาพจิต น่าจะรุนแรง ร้ายกาจ บั่นทอนสุขภาพกาย ทำให้การคิด ตัดสินใจผิดพลาดซ้ำซาก
       ยิ่งมีอารมณ์จมปลักอยู่ในความแค้น ผิดหวัง ความโลภในทรัพย์สิน อำนาจอย่างไร้จิตสำนึก ลืมบุญคุณแผ่นดิน ไม่คำนึงถึงอนาคตของคนรุ่นต่อไป รวมทั้งญาติโกโหติกา โคตรเหง้าเหล่ากอ สืบเนื่องจากบรรพบุรุษ ซึ่งได้มาอาศัยหากินอยู่บนแผ่นดินผืนนี้มา 2-3 ชั่วคน แล้วจู่ๆ มาทึกทักว่าตัวเองต้องเป็นใหญ่เหนือคนอื่นๆ

ชาวฟิลิปปินส์ประท้วงไม่พอใจสหรัฐเพิ่มกำลังทหาร

      ได้โอกาส วาสนา ใช้เงินตราเบิกทางสร้างฐานธุรกิจจนมั่งคั่งเป็นอภิมหาเศรษฐีระดับแสนล้านบาท แทนที่จะพอใจ โคตรเหง้าเหล่ากอตายแล้วเกิดอีกสิบชาติก็กินไม่หมด ก็ยังคิดจะเป็นเจ้าเข้าปกครอง อยู่เหนือกฎหมาย เหนือสถาบัน เพียงแต่ไม่ออกปากอย่างเป็นทางการว่าตัวเองต้องการเป็นใหญ่ขั้นประธานาธิบดี
       โดยพฤติกรรม และหลักฐานคำให้การในศาล บ่งบอกชัดว่าตัวปัญหาแผ่นดิน เหลี่ยมร้ายนั้น ต้องการอยู่เหนือทุกคนในประเทศไทย ใช้เงิน อำนาจ เปิดทางสู่เป้าหมาย ไม่คำนึงถึงความสูญเสียในทรัพย์สินแผ่นดิน ชีวิตคน เหยื่อทาสน้ำเงิน
       ความเหิมเกริมในอำนาจ สั่งสมุนลิ่วล้อ ผีโม่แป้งให้แตกหัก แหกกฎหมายด้วยการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามใจตัวเอง ร่างกฎหมายปรองดองฉาบหน้า เพื่อนิรโทษกรรมตัวเองรอดพ้นจากคุก คดีอาญา หลุดสภาพอภิมหาวายร้าย เดินหน้า ไม่หวั่นหน้าอินทร์หน้าพรหม ใครจะเป็นจะตายก็ช่างมัน ตามคำประกาศอหังการ
       นึกว่ามีเสียงในสภา มีกองกำลังชนเผ่าเสื้อแดง หน่วยติดอาวุธ แล้วจะง่าย! ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่ทาสเงิน มีมันสมอง สติปัญญา ไม่ได้กินแกลบรำ ย่อมทนไม่ได้ จะให้เหลี่ยมร้ายบงการเส้นทางชะตากรรมแผ่นดิน จึงรวมตัวคัดค้านต่อต้านอย่างเต็มที่ ทำให้แผนร้ายหยุดชะงัก ตัวเองช้ำในหัวอกแทบกระอักเลือด
คนญี่ปุ่นที่ Okinawa รวมตัวประท้วง ขอให้ฐานทัพอเมริกันย้ายออกไป 
    ความแค้นสุมอยู่ในใจชั่วร้าย ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น สั่งสมุนร้ายปลุกระดมนักเผาบ้านเผาเมืองก่อการร้าย ให้ออกมาช่วยเหลือ สร้างเงื่อนไขเพื่อการเผชิญหน้า การใช้ความรุนแรง ถึงขั้นยกพวกเข้าห้ำหั่นฝ่ายต่อต้าน เป็นสงครามกลางเมือง
    อย่านึกว่าเหลี่ยมร้ายจะทำไม่ได้ เคยทำมาแล้วในเหตุเผาบ้านเผาเมืองในปี 2552-2553 สร้างความวินาศสันตะโรด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ประเทศไทยแปรสภาพเป็นเมืองอกแตก ชาวบ้านแบ่งกันเป็นสี เพื่อนบ้านขัดแย้ง หมางเมิน
    การปลุกระดมล่าสุด เป็นสัญญาณให้เห็นวิกฤตซึ่งจะก่อตัว ถ้าลิ่วล้อเหลี่ยมร้ายหวังได้ลาภยศเงินตรา ระดมคนมาสร้างเงื่อนไขให้แตกหัก ล้มทุกระบบซึ่งเป็นรากฐานของแผ่นดิน ตัวเหลี่ยมร้ายและลูกๆไม่เสี่ยงตาย แต่สุขสบายอยู่ต่างประเทศ
พ.ต.ท.ทักษิณ กับ ครอบครัว ในบ้านที่อังกฤษ

นอกจากขายทรัพย์สินแผ่นดินให้ต่างชาติ เป็นนายหน้าในพวกนักค้าที่ดินเข้ามาตักตวงทรัพยากรแผ่นดิน น้ำมันและสารพัดประโยชน์จากการลงทุ ล่าสุดเหลี่ยมร้ายสั่งให้รับาลแม่นางโพยปูโพรกเน่าในไปตกลงซูเอี๋ยอี๋อ๋อกับฝรั่งอั่งม้อหัวแดง
       
        ยกแผ่นดินานทัพอู่ตะเภาให้สหรัฐฯ ใช้เพื่อประโยชน์อย่างเต็มที่! ฉากหน้าบอกว่าให้องค์กรอวกาศนาซ่าใช้เป็นานสำรวจสภาวะอากาศ และให้กองทัพอากาศสหรัฐฯทำงานด้านมนุษยธรรมให้ประชาชนในภูมิภาคนี้
       
        สั่งให้รมต.กลาโหมสุกำพลไปยินยอมให้สหรัฐฯ ในการประชุมในสิงคโปร์ อ้างประโยชน์สารพัด คำถามคือทำไมต้องยอม? หวังให้เหลี่ยมร้ายเดินทางเข้าสหรัฐฯ อีกรอบเช่นนั้นหรือ? และทำไมสหรัฐฯ ต้องใช้แผ่นดินไทยทั้งๆที่มีเทคโนโลยีสุดยอด
       
        มีฐานทัพลอยน้ำ มีกองเรือซึ่งจะเพิ่มกำลังรบในย่านมหาสมุทรแปซิฟิกในปี 2020 ด้วยความประสงค์จะแผ่อิทธิพลปิดล้อมจีน ขยายลัทธิครองความเป็นเจ้า
       
        ไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นดินไทย เว้นแต่จะมีวัตถุประสงค์แฝงเร้น และใครจะสามารถตรวจสอบว่าเครื่องบินต่างๆนั้นเป็นการตรวจสอบสภาวะอากาศและเพื่อการจารกรรม? สหรัฐฯ มีดาวเทียมอยู่เต็มท้องฟ้า มีสถานีอวกาศ รู้ทุกอย่างในโลก
       
        แต่ยังไม่รู้ชัดว่ายังมีคนไทยรักชาติ รู้ทันเหลี่ยมร้าย และรู้ทันสหรัฐฯ ปากบอกว่าเพื่อทำงานด้านมนุษยธรรม แต่ดูผลงานย้อนหลัง ล้วนแต่ใช้อำนาจบาทใหญ่ไปรุกราน ฆ่าฟันประชาชนแทบทุกภาคในโลก เช่น เวียดนาม ลาว เขมร ละตินอเมริกา
      และยังเป็นปัญหาคาราคาซังคืออิรัก อัฟกานิสถาน นับไม่ถ้วน คนที่กองกำลังสหรัฐฯ เข่นฆ่าด้วยข้ออ้างสารพัดมากกว่าจำนวนช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแน่นอน
       ถ้าคนไทยยอมให้สหรัฐฯ ใช้ฐานทัพอู่ตะเภา เรามีปัญหาความสัมพันธ์กับจีนแน่ๆ เห็นพิษสงเหลี่ยมร้ายหรือยัง? นอกจากทำให้คนไทยเข่นฆ่ากันแล้ว ยังจะทำให้คนไทยมีปัญหากับชาติเพื่อนบ้าน สร้างวิกฤตในภูมิภาค! มันหนักแผ่นดินจริงๆ !! 


สหรัฐฯ เตรียมสร้างานทัพในออสเตรเลีย:หวังคุมทะเลจีนใต้


ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เตรียมประกาศข้อตกลงตั้งฐานทัพในออสเตรเลียที่จะไปเยือนในสัปดห์หน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อรับมือกับอิทธิพลของจีนที่พยายามอ้างสิทธิ์และประโยชน์เหนือภูมิภาค

ความตกลงดังกล่าวจะทำให้กองทัพเรือของสหรัฐฯ สามารถตั้งฐานทัพบริเวณชายฝั่งของออสเตรเลียเพื่อปฏิบัติการทางทหารได้และสามารถจอดเรือและคงกองกำลังได้ทั้งในลักษณะถาวรและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ฐานทัพดังกล่าวจะมีการร่วมฝึกซ้อมรบระหว่างสหรัฐฯ กับออสเตรเลียมากขึ้น ความเคลื่อนไหวทางทหารของสหรัฐฯ ดังกล่าวจะทำให้สหรัฐฯ สามารถให้ความช่วยเหลือแก่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ

ข้อมูลดังกล่าวยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าการตั้งฐานทัพของสหรัฐฯ นั้น จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดหรือไม่ แต่สหรัฐฯ จำเป็นต้องตัดงบประมาณค่าใช้จ่ายอีกประมาณกว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เพราะบรรเทาวิกฤตหนี้สาธารณะที่กำลังเผชิญอยู่ ขณะที่การขยายอิทธิพลทางทหารของสหรัฐฯ นั้นสะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ เริ่มหันมาให้ความสนใจในภูมิภาคเอเชียอีกครั้งหลังจากพยายามถอนทหารออกจากอิรักและอัฟกานิสถาน





ทูตทหารออสเตรเลียประจำกรุงวอชิงตัน ”สหรัฐฯ พยายามเข้ามาแก้ไขปัญหาภายในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะกรณีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในบริเวณทะเลจีนใต้ (South China Sea)” ขณะที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน Hong Lei กล่าวว่า “หวังว่าประเทศที่เกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าว (ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้) จะให้ความร่วมมือภายใต้กรอบทวิภาคี อันนำไปสู่ความมั่นคง สันติภาพ และเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”


ยุทธศาสตร์ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจีนส่งเรือบรรทุกเครื่องบินลำแรกเข้าสู่น่านน้ำ ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ถูกมองว่าสร้างความท้าทายแก่กองทัพสหรัฐฯ เพราะถือว่ามีอำนาจเป็นรองสหรัฐฯ รวมทั้งปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของจีนที่กำลังขยายตัวไปทั่วโลก ชาติเอเชียหลายชาติกำลังหวาดกลัวภัยคุกคามจีนที่กำลังขยายอำนาจทางทหาร และเกรงว่าความมั่นคงที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของสหรัฐฯ จะเลือนรางไปเพราะแสนยานุภาพทางทหารจีนที่แผ่กว้างขึ้น ในขณะที่สหรัฐฯ กำลังตัดลดงบประมาณทางด้านความมั่นคง


ฐานทัพของสหรัฐฯ ที่จะสร้างขึ้นมีแนวโน้มจะตั้งอยู่บริเวณเมืองดาร์วินทางชายฝั่งตอนเหนือของออสเตรเลีย ขณะที่อีกแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใกล้เมืองเพิร์ธที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งทางตะวันตก


“ในทางยุทธศาสตร์ เราต้องการให้ประเทศต่างๆ ที่เหลือ ในเอเชียแน่ใจว่าการปรากฏขึ้นของสหรัฐฯ แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่ แม้ว่าในศตวรรษที่ 21 นี้จีนพยายามจะพัฒนากองกำลังขึ้นมา” Ernie Bower ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แห่งศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการต่างประเทศ (Center for Strategic and International Studies) ซึ่งถือเป็น Think Tank ในกรุงวอชิงตันกล่าว


ทางการปฏิเสธที่จะลงลึกถึงรายละเอียดว่ากองทัพที่จะเข้ามาคงกองกำลังไว้นั้น มีทหารเรือกี่นาย หรือมีจำนวนเรือกี่ลำในบริเวณดังกล่าว โดยโอบามาจะประกาศในสัปดาห์หน้า รัฐมนตรีกลาโหม ลีออน พาเน็ตตา (Leon Panetta) กล่าวขณะเดินทางมายังเอเชียเมื่อเดือนที่แล้วโดยเขาให้คำมั่นว่าจะขยายอิทธิพลของสหรัฐมายังภูมิภาคนี้แต่จำเป็นต้องลดขนาดต้นทุนทางทหาร

การเยือนออสเตรเลียของโอบามาที่จะเกิดขึ้นนั้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีแห่งความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างสหรัฐอเมริกา-ออสเตรเลีย ตามสุนทรพจน์ของโอบามาแล้วเขาจะไปเยือนฐานทัพในดาร์วินและจะกล่าวสุนทรพจน์ร่วมกับนายกรัฐมนตรีจูเลีย จิลลาร์ด ให้แก่กองทัพออสเตรเลีย โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวว่า เป้าหมายหนึ่งของการเยือนเอเชียของโอบามาก็คือการสามารถเดินทางเข้าสู่บริเวณทะเลจีนใต้ได้อย่างเสรี

หลังการประชุมกับออสเตรเลียเมื่อเดือนกันยายน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่าจะขยายความร่วมมือทางทหารเพื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามและความท้าทายที่กำลังประสบ “ความมั่นคงและความสำเร็จของทั้ง 2 ชาติขึ้นอยู่กับความมั่นคงและความรุ่งเรืองของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

รัฐมนตรีกลาโหมแห่งออสเตรเลีย สตีเฟน สมิธ กล่าวว่า การขยายความร่วมมือจะนำไปสู่ “การเข้าออกของเรือมากขึ้น การขึ้นลงของเครื่องบินมากขึ้น และจำนวนกองกำลังที่เข้าออกเพิ่มขึ้น”

ขณะที่ผู้ช่วยทูตทหาร McOwan กล่าวว่า “การเพิ่มกองกำลังของกองทัพเรือสหรัฐฯ จะช่วยส่งสัญญาณไปยังจีนว่า สหรัฐฯ มีเจตจำนงที่จะปกป้องความมั่นคงให้เกิดขึ้นในภาคพื้นทะเลแห่งภูมิภาค และภาคพื้นอากาศเพื่อเส้นทางการค้า การปรากฏขึ้นของกองทัพสหรัฐฯ จะทำให้ออสเตรเลียและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคมั่นใจได้ว่า การเข้ามาเกี่ยวพันของสหรัฐฯ ในห้วงเวลาดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากจีนตั้งใจเข้ามาในภูมิภาคและเริ่มทำให้เกิดความสั่นคลอนทางด้านความมั่นคง”

และกล่าวเพิ่มเติมว่า โอบามามีแผนจะประกาศการคงกองกำลังไว้ “ไม่ได้มาเพื่อทำให้จีนหวาดกลัว” “แต่มาในเชิงสัญลักษณ์ มากกว่าจะแสดงท่าทีจริงจังเพื่อเป็นการข่มขวัญใคร”


สหรัเตรียมตั้งานทัพ บนเกาะสิงคโปร์

Details
Category: ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้
Last Updated on Wednesday, 11 April 2012 23:26
Published on Saturday, 07 April 2012 17:59
Hits: 116









รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ลีออน พาเน็ตตา ประกาศในวันพฤหัสบดี เตรียมส่งกองกำลังเรือรบขนาดเล็กไปประจำการที่สิงคโปร์ พร้อมซ้อมรบร่วมบ่อยครั้งมากขึ้น
การประกาศนี้มีขึ้นหลังพาเน็ตตาเข้าพบกับรัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ ง้อ เอง เฮง ที่ตึกเพนตากอน หลังจากที่สหรัฐเพิ่งส่งกองกำลังนาวิกโยธินชุดแรกไปยังออสเตรเลีย 200 นาย ก่อนที่จะเพิ่มกำลังขึ้นเป็น 2,500 นายตามที่ได้ตกลงไว้ในภายหลัง
   รัฐมนตรีกลาโหมทั้งสองประเทศออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า การประจำการเรือรบสหรัฐในสิงคโปร์ และเพิ่มความถี่การซ้อมรบร่วมกัน จะช่วยกระชับความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศ
   นอกจากนี้ การวางกำลังเรือรบในสิงคโปร์ยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจนว่า สหรัฐมีความมุ่งมั่นต่อการเสริมสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมถึงมีความจริงจังที่จะให้ความร่วมมือกับชาติพันธมิตรในภูมิภาค ซึ่งทั้งสองผู้นำต่างเห็นพ้องว่า อิทธิพลของสหรัฐในภูมิภาคจะช่วยค้ำจุนเสถียรภาพในพื้นที่ได้
   ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สหรัฐเคยกล่าวว่า อาจส่งกำลังเรือรบขนาดเล็ก และเรือลาดตระเวนชายฝั่งไปยังสิงคโปร์ ซึ่งเพนตากอนชี้แจงว่า กองกำลังที่ประจำการในสิงคโปร์ จะเป็นกองกำลังหมุนเวียน และไม่ได้มีฐานทัพถาวรในสิงคโปร์แต่อย่างใด
โฆษกหญิงกระทรวงกลาโหมสหรัฐ นาวาโทเลสลีย์ ฮัล-ไรด์ กล่าวว่า ขณะนี้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการส่งกำลังเรือรบไปยังสิงคโปร์ยังต้องมีการหารือเพิ่มเติม แต่เธอกล่าวว่า นโยบายนี้เป็นความคืบหน้าที่สำคัญของการพัฒนาความร่วมมือทางทหารระหว่างสองประเทศ
ทั้งนี้ สหรัฐประจำกองกำลังขนาดเล็กในสิงคโปร์อยู่แล้วตามปกติ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านการส่งบำรุงกำลังและด้านการฝึกซ้อม
จีนออกมาโจมตี
ด้านรัฐมนตรีกลาโหมจีนโจมตีการประจำการกองเรือของสหรัฐว่า เป็นความพยายามเพิ่มอิทธิพลทางทหารในทวีปเอเชีย ที่สะท้อนวิธีคิดในช่วงยุคสงครามเย็น
ในช่วงที่ผ่านมา สหรัฐเคยแสดงความกังวลต่อท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้นของจีน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาททะเลจีนใต้ ในขณะที่ชาติเอเชียอื่นๆ ค่อนข้างยินดีต่อการประจำการกำลังนาวิกโยธินสหรัฐในออสเตรเลีย เพราะมองว่าสามารถช่วยถ่วงดุลอิทธิพลกับจีนได้.


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.siamintelligence.com
allmylike.com