วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

9 เหตุผล ที่คนไทยต้องรวมพลัง คัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดอง ทักษิณ


‘พธม.-เสื้อหลากสี’ แจกแจงเหตุผลสำคัญที่คนไทยทั้งประเทศต้องรู้ และเข้าร่วมรวมพลัง คัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองฯ ที่มีเนื้อหา สาระ เพื่อล้างมลทิน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพลพรรค โดยไม่คำนึงถึงผลเสียของชาติที่จะตามมา พร้อมประกาศต่อต้านให้ถึงที่สุด 
       
            ประกาศตัวหลายครั้งว่าจะกลับบ้าน ทั้งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และลิ่วล้อต่างๆ โดยเฉพาะ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และวัฒนา เมืองสุข ผู้ที่ถูกพูดถึงว่าเป็นตัวหลักในการเดินเกมใต้ดินทำ พ.ร.บ.ปรองดองให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ในทำนองว่าอีกไม่นาน พ.ต.ท.ทักษิณจะกลับประเทศไทย และต้องกลับมาอย่างสง่างาม
       
            เมื่อคนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีวันที่จะยอมติดคุก ดังนั้นวิธีการเดียวที่จะกลับมาได้คือปลดล็อกตัวเองด้วยวิธีการทางกฎหมาย 
       
            ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณจึงมีการสั่งและใช้คนหลายคนเพื่อทำให้ตัวเองถึงเป้าหมายคือ กลับมาอย่างไร้ราคี เริ่มต้นตั้งแต่ตั้งท่าจะแก้รัฐธรรมนูญ แต่ท้ายที่สุดแล้วการแก้รัฐธรรมนูญอาจจะดูเหมือนว่าต้องใช้เวลานานไม่ทันใจ จึงเปลี่ยนแผนมาใช้วิธีเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติแทน
       
            โดยมีกระบวนการทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ให้สถาบันพระปกเกล้า ศึกษาดูว่าปัจจัยที่ทำให้การปรองดองสำเร็จคืออะไร ซึ่งสิ่งที่สถาบันพระปกเกล้าได้เสนอมาก็เป็นไปในแนวทางที่มุ่งช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นเพิกถอนผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ถึงกับถูกสังคมตั้งข้อสงสัยในความไม่มีศักดิ์ศรีของสถาบันการศึกษาอย่างสถาบันพระปกเกล้ามาก่อนหน้านี้แล้ว
       
            อีกทั้งยังมีการใช้แม่ทัพใหญ่ที่แปรพักตร์มาอยู่ใต้อำนาจผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ในฐานะหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ที่ได้รับการผลักดันเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ มาเป็นตัวหลักในการเดินเกมช่วยตัวเองกลับบ้านแบบขาวสะอาด แถมได้เงินคืนอีก 4.6 หมื่นล้านบาท ด้วยวิธีการล้มล้างอำนาจทางกฎหมายของคณะปฏิวัติครั้งนั้นให้สิ้น
       
            แต่ลืมไปว่า คนที่จะไม่พอใจสุดๆ นั้นคือคนเสื้อแดงเอง เพราะพ่อแม่พี่น้องเขาเสียชีวิตไปในเกมการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณเมื่อช่วงกลางปี 2553 ถึง 91 ศพ
       
            ดังนั้นเพื่อป้องกันคนต่อต้านทุกกลุ่ม แม้กระทั่งคนเสื้อแดงเอง อีกทั้งเพื่อให้ภาพออกมาดูดี พ.ต.ท.ทักษิณจึงสั่งให้ ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองอีก 3 ฉบับ คือร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ สามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย นิยม วรปัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ ส.ส.กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จากพรรคเพื่อไทย รวมเป็น 4 ฉบับ 
       
            นี่คือกลวิธีสร้างตัวเลือกให้สภาฯ แต่แท้จริงแล้วเนื้อหา พ.ร.บ.ปรองดองของทั้ง 4 ฉบับ กลับไม่มีอะไรที่แตกต่างกันมากนัก เพราะใจความสำคัญคือ การนิรโทษกรรม และคืนเงินทั้งหมดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ 
       
            แสดงให้เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับนั้นเหิมเกริมถึงขนาดที่ว่า เป็นการก้าวล่วงและหมิ่นอำนาจศาล โดยให้การตัดสินคดีทั้งหมดถือเป็นโมฆะ และนั่นคือสิ่งที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” และกลุ่มเครือข่ายต่างๆ รับไม่ได้ และต้องออกมาคัดค้านในครั้งนี้
       
            อะไรคือเหตุผลที่จะต้องคัดค้าน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับนี้อย่างถึงที่สุด!
       
       9 เหตุผลที่ พธม. ไม่เอา พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ
       
            ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้สรุปเหตุผลสำคัญไว้ 9 ประการที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เนื่องเพราะเป็น พ.ร.บ.ที่สร้างความแตกแยกทั้งแผ่นดิน ประกอบด้วย
       
            ประการแรก พ.ร.บ.นี้สร้างความแตกแยกให้กับคนในประเทศ เพียงแค่ร่างขึ้นมาก็เกิดเหตุการณ์เผชิญหน้า มีการชุมนุมของคนหลายกลุ่ม แสดงให้เห็นว่า พ.ร.บ.นี้ไม่ได้เห็นพ้องต้องกันกับคนทุกกลุ่ม
       
            ประการที่ 2 หลักการ เหตุผล และเนื้อหา เห็นได้ชัดว่ามีความไม่ชัดเจน คลุมเครือ ไร้ขอบเขต โดยเฉพาะคำนิยามของคดีทางการเมืองที่ไร้ขอบเขต ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างที่จะสร้างความวุ่นวายตามมา เช่น ปัญหาในเรื่องของการตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หรือปัญหาเรื่องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะทำอย่างไรต่อไป พ.ร.บ.นี้จึงถือว่ามีปัญหาในเรื่องเทคนิคทางกฎหมายค่อนข้างมาก 
       
            ประการที่ 3 พ.ร.บ.นี้มีการล้างความผิดในอดีตให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องโดยเฉพาะคดีทางอาญาให้พ้นผิด เหมือนกับไม่เคยรับผิดเลย รวมไปถึงคดียึดทรัพย์ 4 หมื่น 6 พันล้านก็ต้องคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด ซึ่งสังคมไทยไม่ควรจะยอมรับได้ ถ้ามีการทุจริตโกงภาษี
       
            โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเข้าใจว่า กรณีของยิ่งลักษณ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณมีการซุกหุ้นเกิดขึ้น โดยเฉพาะยิ่งลักษณ์เคยถือหุ้นแทนครอบครัวชินวัตรประมาณ 20 ล้านหุ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำผิดจริง แต่ถ้าไม่จริงก็แปลว่ายิ่งลักษณ์ปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่น ป.ป.ช. เพราะไม่มีรายการนี้ ในทางใดทางหนึ่งจะต้องมีคนผิดหนึ่งคน แสดงว่ากฎหมายกำลังจะล้างความผิดในอดีต เท่ากับเป็นการละเมิดคำพิพากษา ฉีกคำพิพากษาอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง 
       
            ประการที่ 4 คดีทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับคดียุบพรรค โดยเฉพาะ 109 คน ซึ่งยังติดคดียุบพรรคพลังประชาชนอยู่ในขณะนี้ มีกรรมการบริหารพรรค 1 ท่านไปทุจริตการเลือกตั้งขึ้นมา กรณีนี้มีความชัดเจนว่า กฎหมายประกาศล่วงหน้าว่าอย่าทำ แต่ยังมีการทำ พ.ร.บ.นี้กลับไปล้างผลผิดแห่งการกระทำเหล่านั้น ซึ่งเป็นการทำลายหลักนิติรัฐอย่างชัดเจน 
       
            ประการที่ 5 การเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองมีการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์หลายประการ ตัวอย่างเช่น วัฒนา เมืองสุข เป็น ส.ส.ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการปรองดอง ผู้เสนอผ่าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทั้งที่คุณวัฒนา เมืองสุข ก็มีคดีอยู่ใน คตส.ด้วย เท่ากับเสนอ พ.ร.บ.ที่จะมาล้างผลผิดแห่งคดีที่ยังสอบสวน เช่นเดียวกันกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ และคนเสื้อแดงที่ยังมีคดีความอยู่ในชั้นอัยการและพนักงานสอบสวน ซึ่งหากคนเหล่านี้ได้ผลประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ โดยน้ำมือของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็แปลว่า องค์กรพรรคเพื่อไทยกำลังจะได้ประโยชน์ที่เรียกว่าการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติใน รธน. มาตรา 122 จึงถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย 
       
            ประการที่ 6 กรณีที่มีการล้างความผิดในคดีที่เป็นคดีร้ายแรง/รุนแรง เช่น การก่อการร้าย การทุจริต การฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐในขณะปฏิบัติหน้าที่ ถ้าหากมีการงดเว้นความผิดหรือล้างความผิดได้ สถานการณ์จะรุนแรงเป็นบรรทัดฐานที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายต่อไปในอนาคต คนทุจริตก็จะโกงได้มากขึ้นกว่าเดิม โดยไม่มีความยำเกรงต่อกฎหมาย เหตุการณ์ที่เคยมีการก่อความรุนแรงในการชุมนุม เช่น การเผาบ้านเผาเมือง การใช้อาวุธสงครามยิงเจ้าหน้าที่รัฐ ก็จะเป็นบรรทัดฐานในการฆ่าคนได้มากขึ้น โดยไม่ต้องมีความผิด
       
            ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่รัฐก็สามารถใช้ความรุนแรงได้มากขึ้น ดังนั้นบรรยากาศเช่นนี้เป็นบรรยากาศที่จะสร้างความแตกแยกระยะยาวในอนาคตและหนักหน่วงรุนแรงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าทวีคูณ 
       
            ประการที่ 7 ทุกคนมองคำว่าปรองดองเป็นสิ่งสวยงาม แต่การแก้ไขปัญหาด้วยกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เน้นเรื่องความปรองดอง แต่เป็นการเอาชนะคะคาน อ้างความชอบธรรมในการทำให้ตนเองและพวกพ้องได้ประโยชน์จากกฎหมาย จึงเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นกฎหมายที่อยุติธรรม เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม และทำให้เกิดความไม่เสมอภาคของบุคคลในประเทศไทยที่นักโทษบางส่วนได้รับบทลงโทษอย่างหนึ่ง ได้รับการปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง
       
       แต่ถ้าเป็นพวกพ้องนักการเมืองจะได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งเหนือประชาชนและนักโทษโดยทั่วไป เป็นการสร้างบรรทัดฐานของอภิสิทธิ์ชน เท่ากับประชาชนโดยทั่วไปมีศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่าบุคคลเหล่านี้ ซึ่งถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งในลักษณะของระบอบประชาธิปไตยที่เน้นความเสมอภาคหรือเท่าเทียมกันทางกฎหมาย
       
            ประการที่ 8 ความปรองดองที่แท้จริงเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายเคารพกระบวนการยุติธรรม หมายความว่าทุกคนที่ถูกกล่าวหาโดยการถูกกลั่นแกล้งจากกระบวนการเจ้าหน้าที่รัฐ มีสิทธิ์ที่จะพิสูจน์ในกระบวนการของชั้นศาล เมื่อกระบวนการในชั้นศาลพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ผิด ศาลก็จะประทับตราว่าคนเหล่านั้นไม่ผิดและเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะไม่ต้องมีข้อกล่าวหากันไปมาอีก
       
       แต่ถ้าคนเหล่านั้นกระทำความผิดก็จะเข้าสู่กระบวนการที่ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ดังนั้น ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีบรรทัดฐานที่ทุกคนถูกปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกันทุกฝ่าย 
       
            ประการสุดท้ายคือ เหตุที่เกิดขึ้นและยังวุ่นวายกันในขณะนี้ เป็นเพราะเหตุผลเดียวคือ นักการเมืองไม่รู้จักคำว่าเสียสละ ถ้ารู้จักคำว่าเสียสละตัวเองเพื่อรักษาหลักนิติรัฐไว้แล้ว เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น และไม่มีทางเกิดความวุ่นวาย ขณะนี้ประชาชนมีความเดือดร้อนหลายเรื่อง ทั้งข้าวยากหมากแพง ปัญหาอุทกภัยก็ยังไม่ได้รับการเยียวยา สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะต้องมองไปที่ประโยชน์ของประชาชน
       
            เพียงแต่นักการเมืองและผู้นำมวลชนหลายกลุ่มในวันนี้ไม่รู้จักคำว่าเสียสละประโยชน์ส่วนตนหรือยอมรับโทษของส่วนตนเพื่อรักษาระบบที่ดีเอาไว้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยในอนาคตอย่างมาก
       
       เหตุผลกลุ่มเสื้อหลากสี ค้านปรองดอง
       
            ด้าน นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ระบุ 4 เหตุผลที่กลุ่มเสื้อหลากสีต้องรวมพลังชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ เพราะเป็น พ.ร.บ.สร้างความแตกแยก ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติ
       
            1. พ.ร.บ.ปรองดองนี้ไม่ใช่การปรองดองจริงๆ แต่ชื่อที่แท้จริงควรจะเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแม้ว และยังเป็น พ.ร.บ.เพื่อความแตกแยกโดยแท้
       
            2.พ.ร.บ.นี้ ถือเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมโดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างมาก
       
            3.หาก พ.ร.บ.ปรองดองถูกบังคับใช้จริง ผลที่จะเกิดขึ้นคือ คนที่ทุจริตคอร์รัปชันจะพ้นผิด รวมถึงคนเผาบ้านเผาเมืองก็จะพ้นจากความผิดทั้งหมด นอกจากนั้นความจริงในเรื่องที่ทหารเข้าไปสลายการชุมนุมนั้น เป็นการเข้าไปทำร้ายประชาชนหรือเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อย คนก็จะต้องเข้าใจผิดต่อไป
       
            4.พ.ร.บ.นี้ เป็น พ.ร.บ.เพื่อความแตกแยก ปรองดองกับทักษิณ แต่แดงได้ประโยชน์ และคนในพรรคเพื่อไทยเองก็ได้ประโยชน์ด้วย เพราะบางคนจะหลุดคดี เช่น วัฒนา เมืองสุข ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ ก็จะกลายเป็นไม่ได้กระทำความผิด ระบบกฎหมายที่พิพากษาไว้ก็จะถูกทำลายโดยเสียงข้างมากในสภา ซึ่งไม่มีประเทศไหนที่เขาเจริญแล้วในโลกเขาทำกัน ถือเป็นเผด็จการรัฐสภาโดยแท้
       
            อย่างไรก็ดี นพ.ตุลย์ย้ำว่า กลุ่มเสื้อหลากสีจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะเมื่อ พ.ร.บ.ปรองดองผ่านสภาออกมาถึงวาระที่ 3 ยิ่งต้องชุมนุมต่อเนื่องจนกว่า พ.ร.บ.แห่งความแตกแยกนี้จะตกไป กลุ่มเสื้อหลากสีไม่ได้คัดค้านการปรองดอง แต่ถ้าเป็น พ.ร.บ.แฝงนิรโทษกรรมทักษิณและผู้ใช้อำนาจรัฐอย่างผิดๆ ก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้...


ขอขอบคุณที่มาของภาพและบทความ:
www.manager.co.th  : 30 พฤษภาคม 2555 19:41 น.




0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น